5 ตุลาคมของทุกปี ได้รับการยกย่องให้เป็น “วันครูโลก” หรือ World Teacher’s Day ซึ่งในโลกใบนี้ มีบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็น “ครู” อยู่มากมาย แต่ครูทั้ง 7 ท่านที่หยิบยกมานี้ พวกเขาและเธอ ล้วนเป็น “ครูผู้เปลี่ยนแปลงโลก” สร้างคุณูปการไว้ให้กับคนรุ่นหลังมากมาย ไปดูกันว่า มีใครกันบ้าง…
1.ขงจื๊อ
ขงจื๊อเป็นนักคิดและนักปรัชญาสังคมในยุคโบราณ คำสอนของบุรุษคนนี้หยั่งรากลึกในสังคมเอเชียตะวันออกมายาวนาน หากแต่แรกเริ่มเดิมที ขงจื๊อไม่ได้มีอาชีพครูแต่อย่างใด เขาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยในแคว้นหลู่ ประเทศจีน คอยทำหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานดูแลคลังเสบียงและเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์
แต่ด้วยความใฝ่รู้ จึงศึกษาตำราวิชาการมาตั้งแต่เยาว์วัย ที่สุดจึงกลายเป็นผู้รอบรู้ โดยเฉพาะแนวคิดทางการปกครอง กระทั่งเริ่มเผยแพร่ความรู้จนมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย
หลักคิดของขงจื๊อมีความหลากหลาย ทั้งปัจเจกชน สังคม การเมือง การศึกษา และจริยธรรม โดยได้รับการถ่ายทอดอย่างแพร่หลายมากว่า 20 ศตวรรษ แถมยังเป็นหลักคำสอนที่ไม่ตกยุคตกสมัย อยู่เหนือกาลเวลา เนื่องจากเข้าถึง “เบื้องลึก” ของผู้คนนั่นเอง
“การจะเป็นคนดีได้นั้น ประการแรก จะต้องได้รับการศึกษา การได้รับการศึกษาจะทำให้คนฉลาดขึ้น สามารถแยกแยะระหว่างสิ่งดีและสิ่งชั่วร้าย สิ่งไหนควรทำและไม่ควรทำ อะไรเป็นไปเพื่อความเจริญ อะไรเป็นไปเพื่อความเสื่อม เมื่อรู้แล้วก็จะหาทางหลีกเลี่ยงความเสื่อมแล้วดำเนินไปสู่ความเจริญ” (หลักคำสอนของขงจื๊อ)
2.อริสโตเติล
อริสโตเติลเป็นนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงแห่งกรีกโบราณในช่วง 384 ปีก่อนคริสตกาล เขาเป็นลูกศิษย์ของเพลโต และศึกษาในศาสตร์ความรู้มากมาย กระทั่งผลิตงานเขียนออกมาหลากหลายแขนง ทั้งปรัชญา เศรษฐศาสตร์ จริยศาสตร์ การปกครอง การเมือง จิตวิทยา และเทววิทยา
ด้วยความรอบรู้ ทำให้อริสโตเติลมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย หนึ่งในนั้น คือกษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราช นอกจากนี้อริสโตเติลยังเป็นปราชญ์ในยุคแรก ๆ ที่สนใจในพฤติกรรมของสัตว์และพืช รวมทั้งมีความเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนมีความสามารถและความคิดไม่เท่ากัน แต่ทุกคนมีโอกาสที่จะเก่งได้เท่ากัน
ทฤษฎีของอริสโตเติลยังมีส่วนสำคัญต่อความเชื่อของผู้คนบนโลก อาทิ ความเชื่อที่ว่า โลกประกอบด้วยธาตุทั้ง 4 ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ หรือการแบ่งสัตว์เป็น 2 จำพวกใหญ่ ๆ คือ สัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง และสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง ซึ่งแนวคิดเหล่านี้ล้วนเป็นรากฐานให้กับผู้คนบนโลกได้ใช้พัฒนาศาสตร์ความรู้เรื่อยมา
3.เซอร์ ไอแซก นิวตัน
หากพูดถึง “กฎแรงโน้มถ่วง” ผู้คนต้องนึกถึง “เซอร์ ไอแซก นิวตัน” จากการคิดค้นทฤษฎีแรงดึงดูดของโลก นอกจากนี้เขายังเป็นผู้พัฒนาทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ “แคลคูลัส” และรวมถึงการค้นพบคุณสมบัติของแสง ทำให้ในเวลาต่อมา เกิดการค้นพบรังสีอินฟาเรด และรังสีเอกซ์ ที่เป็นประโยชน์ต่อวงการแพทย์
การคิดค้นและเผยแพร่ทฤษฎีของนักฟิสิกส์คนนี้ ทำให้เขาเป็น “ครูคนสำคัญ” ของนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก ที่ต่างก็ใช้องค์ความรู้ของนิวตัน พัฒนาโลกให้ก้าวไกลมาจนทุกวันนี้
4.อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงและมีผลงานเป็นที่ยอมรับในระดับโลก โดยหนึ่งในผลงานที่ทำให้เขาเป็นที่จดจำจนถึงปัจจุบัน คือ สมการ E=mc2 ในทฤษฎีสัมพัทธภาพ ซึ่งเป็นทฤษฎีที่มีนักวิทยาศาสตร์รุ่นหลัง นำมาเพิ่มพูนความรู้มากมาย
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เป็นทั้งนักคณิตศาสตร์และนักฟิสิกส์ สำคัญไปกว่านั้น เขาเป็นนักคิดที่ไม่ยอมหยุดนิ่ง และเป็น “ครู” ที่ให้ความรู้กับลูกศิษย์มากมาย
ไอน์สไตน์ได้ชื่อว่าเป็นศาสตราจารย์สอนหนังสือแก่นักศึกษาในมหาวิทยาลัยมากมาย อาทิ มหาวิทยาลัยซูริก มหาวิทยาลัยปราก มหาวิทยาลัยโปลิเทคนิคแห่งสวิสฯ และมหาวิทยาลัยเบอร์ริช
แม้ครูท่านนี้จะจากโลกนี้ไปกว่า 68 ปี แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทั้งองค์ความรู้ หรือแม้แต่ “ชื่อเสียง” ของเขา ยังคงถูกกล่าวถึงอยู่เสมอ
5.มารี กูรี
ชื่อของนักเคมีหญิงคนนี้ อาจไม่แพร่หลายต่อผู้คนในวงกว้างมากนัก แต่เธอผู้นี้ เป็นผู้คิดค้น “รังสีเรเดียม” ซึ่งถือเป็นการนำศาสตร์ด้านเคมีมาใช้รักษาโรคมะเร็งในยุคแรก ๆ
มารี กูรี เป็นชาวโปแลนด์ เธอสนใจวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่เด็ก ด้วยฐานะทางบ้านที่ไม่สู้ดี เธอหางานทำด้วยการเป็นครูสอนเด็กอนุบาล จนเมื่อเข้าสู่การเรียนระดับมหาวิทยาลัย กูรียังยึดอาชีพเป็นติวเตอร์สอนหนังสือเพื่อหารายได้ กระทั่งเรียนจบจากมหาวิทยาลัยปารีส เธอจึงเริ่มทำงานด้านวิทยาศาสตร์เป็นต้นมา
มารี กูรี ยังเป็นสุภาพสตรีคนแรกในฝรั่งเศสที่เรียนจบระดับปริญญาเอก แต่ผลงานที่ทำให้โลกต้องจดจำเธอ คือการวิจัยและค้นพบธาตุใหม่ คือ ธาตุพอโลเนียม และธาตุเรเดียม ก่อนจะพบว่า ธาตุเรเดียมสามารถปล่อยรังสีออกมา จนกลายเป็นธาตุตั้งต้นในการฉายรังสีรักษาโรคมะเร็ง
มารี กูรี ได้รับรางวัลโนเบลถึง 2 ครั้ง พร้อมทั้งจัดตั้งมูลนิธิ Curie Foundation เพื่อเป็นต้นแบบของสถาบันวิจัยมะเร็งในหลายประเทศในเวลาต่อมา ทั้งหมดทั้งมวลนี้ คือการพยายามส่งต่อความรู้ของอดีตครูอนุบาลหญิงคนหนึ่ง ที่นำมาสู่การช่วยชีวิตผู้คนบนโลกนี้อีกมากมาย
6.แอนน์ ซัลลิแวน
อีกหนึ่งครูผู้ยิ่งใหญ่ที่ยังถูกพูดถึงจนปัจจุบัน เธอคือ “แอนน์ ซัลลิแวน” สุภาพสตรีคนนี้เคยประสบภาวะพิการทางดวงตา แต่โชคดีได้รับการรักษาจนอาการดีขึ้น และต่อมา เธอหันมายึดอาชีพเป็น “ครู” โดยจุดเปลี่ยนสำคัญ คือการเป็นครูสอนเด็กตาบอดและหูหนวกที่ชื่อ “เฮเลน เคลเลอร์”
เฮเลนเป็นเด็กหญิงที่ไม่สามารถสื่อสารกับใครได้ รวมทั้งยังมีปัญหาเรื่องพฤติกรรม ทว่าครูแอนน์เริ่มฝึกฝนและสอนเธอ กระทั่งในที่สุด เฮเลนก็สามารถออกเสียงได้ และมีพัฒนาการมากขึ้นเป็นลำดับ
ในเวลาต่อมา เฮเลนสำเร็จการศึกษาเกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากวิทยาลัยแรดคลิฟฟ์ (Radcliffe College) เธอกลายนักเขียน และนักสิทธิสตรี รวมทั้งยังก่อตั้งสหภาพอเมริกันเพื่อเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ และให้กำลังใจต่อผู้พิการ
เรื่องทั้งหมดอาจไม่เกิดขึ้นเลย หากว่าเฮเลนไม่มี “ครูที่ดี” ที่ทำให้เธอลุกขึ้นพัฒนาตัวเอง สุภาพสตรีคนนี้คือ ครูแอนน์ ซัลลิแวน ของเธอนั่นเอง
7.โทรุ คุมอง
ผู้คนคุ้นหูกับสถาบันกวดวิชาที่ชื่อ “คุมอง” นี่คือสถาบันกวดวิชาคณิตศาสตร์และภาษาที่มีเครือข่ายมากที่สุดในโลก ที่มาของสถาบันแห่งนี้ มีชายผู้อยู่เบื้องหลังที่ชื่อ โทรุ คุมอง
ในปี 1954 โทรุ คุมอง เป็นคุณครูสอนคณิตศาสตร์ให้กับเด็กนักเรียนชั้นมัธยมปลาย แต่ในมุมกลับกัน ลูกชายของเขากลับมีผลการเรียนคณิตศาสตร์ที่ย่ำแย่ คุมองตัดสินใจออกแบบเนื้อหาวิชาคณิตศาสตร์ให้แก่ลูกชาย โดยให้ฝึกทำโจทย์ที่เขาเขียนขึ้นมาทุกวัน วันละ 30 นาที จนทำให้ลูกชายสามารถแก้โจทย์คณิตศาสตร์ได้ดีขึ้น หนำซ้ำยังแก้โจทย์ยาก ๆ ได้อีกด้วย
จากความสำเร็จนี้ ทำให้ โทรุ คุมอง ชวนเด็ก ๆ ใกล้บ้านมาสอนแบบเดียวกับลูกชาย ปรากฏว่าเด็ก ๆ เหล่านั้นมีพัฒนาการทางวิชาคณิตศาสตร์ที่ดีขึ้นอย่างมาก เป็นที่มาให้เขาตัดสินใจเปิดโรงเรียนกวดวิชา “คุมอง” ขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 1958
จวบจนปัจจุบัน คุมองกลายเป็นหนึ่งในสถาบันพัฒนาทักษะการศึกษาที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีจำนวนนักเรียนกว่า 4 ล้านคนใน 57 ประเทศทั่วโลก
แต่อย่างไรก็ตาม ความยิ่งใหญ่ที่แท้จริงของผู้ชายที่ชื่อ โทรุ คุมอง คือการที่เขาได้ “ส่งต่อ” วิชาความรู้ และแบบเรียนใหม่ ๆ ให้กับเด็กได้พัฒนาต่อไป
“ครู” มีหน้าที่มอบความรู้ให้กับนักเรียน เหนือสิ่งอื่นใด คือการหยิบยื่นโอกาส เพื่อให้นักเรียนได้เติบโต และพัฒนาตนเอง เป็นบุคลากรที่มีประโยชน์ต่อสังคมต่อไป…
Did You Know
วันครูโลก (World Teacher's Day) เป็นวันที่ได้รับการตั้งขึ้นเพื่อเป็นการรำลึกและยกย่องบุคลากรที่มีอาชีพครูทั่วโลก เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1994 โดยนอกจากจะเป็นการยกย่องอาชีพครูแล้ว การก่อตั้งวันสำคัญนี้ยังเป็นการช่วยยกระดับวิชาชีพครูทั่วโลก รวมถึงส่งเสริมให้มีการสร้างมาตรฐานครูให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
อ้างอิง
-www.timesofindia.indiatimes.com
-www.unesco.org
-www.kumon.com
-www.biography.com
ดูรายการเกี่ยวกับอาชีพครู
-แสงสว่างในความมืด “ครูไอซ์” ดำเกิง มุ่งธัญญา
-ครูมะนาว #เป็นครูอยู่(ไม่)ยาก