เมื่อวันที่ 22 เม.ย.2568 อินเดียภายใต้การนำของ นายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี ประกาศระงับ สนธิสัญญาแม่น้ำสินธุ ซึ่งเป็นข้อตกลงแบ่งปันน้ำกับปากีสถานที่มีอายุกว่า 60 ปี การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์กราดยิงในแคชเมียร์ที่คร่าชีวิตนักท่องเที่ยว 26 คน ซึ่งอินเดียกล่าวหาว่าปากีสถานอยู่เบื้องหลัง การยกเลิกสนธิสัญญาครั้งนี้ไม่เพียงข่มขู่เส้นชีวิตด้านการเกษตรและพลังงานของปากีสถาน แต่ยังจุดชนวนให้เกิดความขัดแย้งที่อาจลุกลามเป็นวิกฤตระดับภูมิภาค
ก่อนจะเข้าใจความร้ายแรงของสถานการณ์นี้ ไทยพีบีเอสออนไลน์ชวนย้อนกลับไปดูจุดกำเนิดของความขัดแย้งระหว่างอินเดียและปากีสถานที่หยั่งรากลึกตั้งแต่ยุคแบ่งแยกดินแดน
ต้นตอความขัดแย้ง "แยกประเทศ-แย่งแคชเมียร์"
ความขัดแย้งระหว่างอินเดียและปากีสถานเริ่มต้นในปี 2490 เมื่อ "อังกฤษ" ถอนตัวจากการเป็นเจ้าอาณานิคมและแบ่งดินแดนเป็น 2 ชาติตามศาสนา อินเดียส่วนใหญ่เป็นชาวฮินดู ส่วนปากีสถานเป็นมุสลิม แต่ภายในพื้นที่ชมพูทวีปนั้น ยังมี "รัฐมหาราชา" อีกจำนวนมาก ซึ่งทุกรัฐมีสิทธิ์เลือกที่จะรวมตัวกับใครก็ได้ แล้วแต่จำนวนประชากรส่วนใหญ่ในรัฐที่นับถือศาสนาฮินดู หรือ อิสลาม
"แคว้นแคชเมียร์" ซึ่งอยู่ทางเหนือของพื้นที่อินเดียและปากีสถาน แคชเมียร์ มีประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม แต่ปกครองโดยมหาราชา "ฮารี ซิงห์" ที่นับถือฮินดู หลังการประกาศอิสรภาพของปากีสถานและอินเดียที่ห่างกันเพียง 1 วัน แคชเมียร์เป็นเพียงรัฐมหาราชารัฐเดียวที่อยากเป็นเอกราช ปกครองตนเอง
จุดนี้จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นข้อพิพาท ประชากรส่วนใหญ่ของแคชเมียร์เป็นมุสลิม จึงต้องการรวมตัวเข้ากับปากีสถาน และกองทัพปากีสถานก็ส่งกองกำลังติดอาวุธเข้าร่วมก่อการประท้วง ในขณะนั้น ฮารี ซิงห์ ผู้นับถือฮินดู จึงตัดสินใจเข้าขอความร่วมมือจากอินเดียในปี 2490 เพราะถูกรุกรานจากกลุ่มติดอาวุธที่ได้รับการสนับสนุนจากปากีสถาน นำไปสู่สงครามอินเดีย-ปากีสถานครั้งแรก (2490-2491)

ฮารี ซิงห์ มหาราชารัฐแคชเชียร์
ฮารี ซิงห์ มหาราชารัฐแคชเชียร์
ผลคือ สหประชาชาติ ต้องเข้ามาเป็นคนกลางไกล่เกลี่ย และส่งผลให้ดินแดนแคชเมียร์ถูกแบ่งโดย Line of Control (LoC) อินเดียควบคุม 2 ใน 3 ของแคชเมียร์และปากีสถานควบคุมส่วนที่เหลือ ทั้ง 2 ชาติยังคงอ้างสิทธิ์เหนือแคชเมียร์ทั้งหมด นำไปสู่สงครามใหญ่ 3 ครั้ง (2508, 2514, 2542) และการปะทะย่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง
"แคว้นแคชเมียร์" ไม่เพียงเป็นประเด็นด้านดินแดน แต่ยังมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์และทรัพยากร แม่น้ำสายหลักของลุ่มน้ำสินธุ เช่น แม่น้ำสินธุ เจลัม และเชนับ ซึ่งไหลผ่านแคชเมียร์ฝั่งอินเดีย เป็นแหล่งน้ำสำคัญของปากีสถาน การควบคุมแคชเมียร์จึงหมายถึงการควบคุมน้ำ ซึ่งเป็นเส้นชีวิตของทั้ง 2 ชาติ โดยเฉพาะปากีสถานที่พึ่งพาน้ำเหล่านี้ในการเกษตรและพลังงาน
เหตุการณ์กราดยิงในแคชเมียร์ เม.ย.2568
เมื่อวันที่ 22 เม.ย.2568 กลุ่มติดอาวุธโจมตีนักท่องเที่ยวในเมืองปาฮาลกัม หุบเขาไบซารัน รัฐจัมมูและแคชเมียร์ ฝั่งอินเดีย สังหารนักท่องเที่ยว 26 คน นับเป็นการโจมตีพลเรือนที่รุนแรงที่สุดในอินเดียนับตั้งแต่เหตุการณ์มุมไบในปี 2551
กลุ่ม The Resistance Front (TRF) ซึ่งอินเดียเชื่อว่าได้รับการสนับสนุนจากปากีสถาน อ้างความรับผิดชอบ โดยระบุว่าไม่พอใจการตั้งถิ่นฐานของ "คนนอก" ในแคชเมียร์ อินเดียระบุว่ามือปืน 3 คน เป็นสมาชิกของ Lashkar-e-Taiba ซึ่งมีฐานในปากีสถาน และกล่าวหาปากีสถานว่าอยู่เบื้องหลังการโจมตี ปากีสถานปฏิเสธข้อกล่าวหาและยืนยันว่าให้การสนับสนุนเพียงด้านการทูตและศีลธรรมแก่ชาวแคชเมียร์

เมืองปาฮาลกัม หุบเขาไบซารัน รัฐจัมมูและแคชเมียร์
เมืองปาฮาลกัม หุบเขาไบซารัน รัฐจัมมูและแคชเมียร์
อ่านข่าว : กลุ่มมือปืนโจมตีนักท่องเที่ยวในแคชเมียร์ เสียชีวิตกว่า 20 คน
โมดีกร้าวระงับ "สนธิสัญญาแม่น้ำสินธุ"
เหตุการณ์กราดยิงจุดชนวนให้อินเดียตอบโต้อย่างแข็งกร้าว รัฐบาลของนายกฯ นเรนทรา โมดี ประกาศระงับ "สนธิสัญญาแม่น้ำสินธุ (Indus Waters Treaty)" ซึ่งลงนามในปี 2503 และเป็นข้อตกลงสำคัญในการแบ่งปันน้ำระหว่าง 2 ชาติ การตัดสินใจนี้ถือเป็นการยกระดับความตึงเครียดครั้งใหญ่ เนื่องจากแม่น้ำสินธุและสาขาย่อยเป็นแหล่งน้ำหลักของปากีสถาน ซึ่งพึ่งพาน้ำเหล่านี้ในการเกษตร การชลประทาน และการผลิตไฟฟ้า
นอกจากนี้ อินเดียยังปิดจุดผ่านแดนหลักนวกาห์-อัตตารี ระงับวีซาพิเศษสำหรับชาวปากีสถาน และขับเจ้าหน้าที่ทูตปากีสถานออกจากนิวเดลี ทางด้านปากีสถานตอบโต้ด้วยการปิดน่านฟ้า ระงับการค้าทั้งหมด และขับเจ้าหน้าที่ทูตอินเดียออก พร้อมเตือนว่าการตัดน้ำของอินเดียถือเป็น "การก่อสงคราม"
อ่านข่าว : "อินเดีย" ลดระดับสัมพันธ์ "ปากีสถาน" หลังเหตุโจมตีแคชเมียร์
สนธิสัญญาแม่น้ำสินธุคืออะไร ?
"แคชเมียร์" มีความสำคัญต่อชาติทั้ง 2 คือ อินเดีย และ ปากีสถาน ไม่เพียงเพราะดินแดน แต่ยังเพราะเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำในลุ่มน้ำสินธุ แม่น้ำสินธุ เจลัม และเชนับ ซึ่งไหลจากเทือกเขาหิมาลัยในแคชเมียร์ฝั่งอินเดียลงสู่ปากีสถาน รองรับความต้องการน้ำของปากีสถานถึงร้อยละ 80 โดยเฉพาะในแคว้นปัญจาบ ซึ่งเป็น "ตะกร้าข้าว" ของชาติ
การเกษตรของปากีสถาน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 24 ของ GDP ขึ้นอยู่กับน้ำจากแม่น้ำเหล่านี้ ในขณะที่อินเดียใช้แม่น้ำเหล่านี้ในการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำและชลประทานในแคชเมียร์ การควบคุมแคชเมียร์จึงเป็นการควบคุมทรัพยากรน้ำที่มีค่ามหาศาล
สนธิสัญญาแม่น้ำสินธุ ลงนามเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2503 ผ่านการไกล่เกลี่ยของธนาคารโลก เพื่อแก้ไขข้อพิพาทเรื่องน้ำหลังการแบ่งแยกในปี 2490 ข้อตกลงนี้แบ่งการใช้แม่น้ำในลุ่มน้ำสินธุ 6 สาย ได้แก่ สินธุ เจลัม เชนับ ราวี เบียส และสุตเลช ดังนี้
อินเดีย ได้รับสิทธิ์ควบคุมแม่น้ำตะวันออก 3 สาย (ราวี เบียส สุตเลช) ซึ่งให้ปริมาณน้ำประมาณ 33 ล้านเอเคอร์-ฟุตต่อปี (MAF) คิดเป็นร้อยละ 20 ของปริมาณน้ำทั้งหมดในลุ่มน้ำ อินเดียสามารถใช้แม่น้ำตะวันตก เพื่อการเกษตรที่ไม่ใช้การชลประทาน เช่น การเพาะปลูกที่พึ่งพาน้ำฝน และการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำแบบ "run-of-river" (ไม่กักเก็บน้ำ) โดยต้องไม่รบกวนการไหลของน้ำไปยังปากีสถาน
ปากีสถาน ได้รับสิทธิ์ควบคุมแม่น้ำตะวันตก 3 สาย (สินธุ เจลัม เชนับ) ซึ่งให้ปริมาณน้ำประมาณ 135 MAF คิดเป็นร้อยละ 80 ของปริมาณน้ำทั้งหมด ปากีสถานสามารถใช้แม่น้ำตะวันออกได้ในช่วงเปลี่ยนผ่านจนกว่าการพัฒนาระบบชลประทานในแม่น้ำตะวันตกจะเสร็จสมบูรณ์

แคชเมียร์
แคชเมียร์
สนธิสัญญากำหนดให้ตั้ง "คณะกรรมาธิการแม่น้ำสินธุถาวร (Permanent Indus Commission)" ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนจากทั้ง 2 ชาติ เพื่อตรวจสอบการปฏิบัติตามสนธิสัญญาและแก้ไขข้อพิพาท หากคณะกรรมาธิการไม่สามารถตกลงกันได้ จะมีการแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญที่เป็นกลางหรือส่งเรื่องไปยัง ศาลอนุญาโตตุลาการ ซึ่งบริหารโดยธนาคารโลก
ในอดีต สนธิสัญญานี้ รอดพ้นจากสงครามอินเดีย-ปากีสถานมาแล้ว 3 ครั้ง (2508, 2514, 2542) และความตึงเครียดนับครั้งไม่ถ้วน จึงถือได้ว่าเป็น 1 ในข้อตกลงน้ำที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก
ผลกระทบหากอินเดียก่อ "สงครามน้ำ"
การระงับสนธิสัญญาแม่น้ำสินธุโดยอินเดียอาจนำไปสู่ผลกระทบร้ายแรงต่อปากีสถานและความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ชาติ ที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ "วิกฤตการเกษตรในปากีสถาน" เพราะพึ่งพาน้ำจากแม่น้ำสินธุ เจลัม และเชนับในการชลประทาน
- พื้นที่เกษตรกว่า 16 ล้านเฮกตาร์ หากอินเดียกักเก็บหรือเปลี่ยนทิศทางน้ำ ผลผลิตพืชผล เช่น ข้าวสาลี ข้าว และฝ้าย อาจลดลงอย่างมาก ส่งผลต่อความมั่นคงด้านอาหาร
- ภัยแล้งและความยากจน แคว้นปัญจาบและสินธ์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเกษตร อาจเผชิญภัยแล้งรุนแรง เพิ่มความยากจนและการอพยพของประชากร
- การขาดแคลนพลังงาน เขื่อนและโรงไฟฟ้าพลังน้ำของปากีสถาน เช่น เขื่อนทาร์เบลา ขึ้นอยู่กับน้ำจากแม่น้ำสินธุ การลดลงของน้ำอาจทำให้เกิดวิกฤตพลังงาน
- ความตึงเครียดทางทหาร ปากีสถานระบุว่าการตัดน้ำเป็น "การก่อสงคราม" ซึ่งอาจนำไปสู่การปะทะตามแนว LoC หรือการโจมตีตอบโต้
ที่น่ากังวลมากที่สุดคือ ทั้ง 2 ชาติ เป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์ โดยอินเดียมีหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ 130-140 หัว และปากีสถานมี 140-150 หัว ความขัดแย้งที่ลุกลามอาจมีผลกระทบร้ายแรงในระดับโลก
แต่แม้การประกาศระงับสนธิสัญญาแม่น้ำสินธุ เพื่อตอบโต้ปากีสถาน แต่อินเดียก็หนีไม่พ้นที่ต้องร่วมรับชะตากรรมเช่นกัน การกักเก็บน้ำอาจช่วยเพิ่มการชลประทานและพลังงานในรัฐจัมมูและแคชเมียร์ แต่จะเพิ่มความตึงเครียดในแคชเมียร์ ซึ่งมีกลุ่มแบ่งแยกดินแดนอยู่แล้ว
- อินเดียอาจเผชิญแรงกดดันจากนานาชาติ โดยเฉพาะจีน ซึ่งสนับสนุนปากีสถาน และสหรัฐฯ ซึ่งมีผลประโยชน์ในภูมิภาค
- ธนาคารโลก ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันสนธิสัญญา อาจพยายามไกล่เกลี่ย แต่การที่อินเดียระงับสนธิสัญญาโดยฝ่ายเดียวทำให้การเจรจายากขึ้น
- จีน ซึ่งควบคุมบางส่วนของแคชเมียร์ (อักไซชิน) และเป็นพันธมิตรของปากีสถาน อาจเพิ่มการสนับสนุนปากีสถาน สร้างความซับซ้อนในสถานการณ์

สงครามอินเดีย-ปากีสถาน ครั้งที่ 1
สงครามอินเดีย-ปากีสถาน ครั้งที่ 1
การระงับสนธิสัญญาแม่น้ำสินธุโดยอินเดีย หลังเหตุการณ์กราดยิงในแคชเมียร์ ได้เปลี่ยนข้อตกลงสันติภาพให้กลายเป็นจุดชนวนของ "สงครามน้ำ" ระหว่างอินเดียและปากีสถาน แคชเมียร์ ซึ่งเป็นทั้งต้นกำเนิดของความขัดแย้งและแหล่งน้ำสำคัญ ยังคงเป็นหัวใจของปัญหา อนาคตของทั้ง 2 ชาติขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาจะหาทางออกทางการทูตได้หรือไม่ ท่ามกลางความเสี่ยงของวิกฤตด้านมนุษยธรรมและความขัดแย้งที่อาจลุกลามไปทั่วโลก
ที่มา :
World Bank. "Indus Waters Treaty."
BBC News. "Kashmir Attack and India-Pakistan Tensions."
Al Jazeera. "India Suspends Indus Waters Treaty : What It Means for Pakistan."
The Hindu. "India’s Decision to Suspend Indus Waters Treaty : Strategic Implications."
อ่านข่าวอื่น :
ครม.เคาะงบ 400 ล้าน ดำเนิน 9 โครงการ 3 จังหวัดอีสานตอนบน
4,440 โรงเรียน ใช้หลักสูตรใหม่ปฐมวัย–ประถมต้น ภาคเรียน 1 ปี 68