คลิป Reels จากผู้ใช้เฟซบุ๊กที่มียอดผู้เข้าชมกว่า 1 ล้านครั้ง ซึ่งเป็นคลิปโฆษณา “สบู่สเตนเลส" ที่อ้างว่าสามารถระงับได้ทุกกลิ่น จากการตรวจสอบจากนักวิชาการ ยืนยันว่า สบู่สเตนเลส ไม่ทำให้เหงื่อไคล หรือคราบสกปรกหลุดไป นอกจากนี้ยังไม่มีผลวิจัยยืนยันที่ชัดเจน แนะนำให้ใช้สบู่ธรรมดาดีที่สุด
แหล่งที่มา : Reels

Thai PBS Verify พบบัญชีเฟซบุ๊กชื่อ "อาจารย์ตัน วงษ์พิสุทธิ์ ทองพันธุ์" โพสต์คลิป Reels ระบุว่า "สบู่สเตนเลส ใช้ดี ใช้ทน ใช้จนลืม" โดยชายในคลิปได้บรรยายว่า "สบู่สเตนเลสระงับกลิ่นได้ทุกชนิด กลิ่นคาวเนื้อ คาวปลา คาวหมู คาวหมา คาวไก่ คาวอะไร แม้กระทั่งคาวข้างนอก คาวข้างใน คาวกินตัว คาวร่างกาย สบู่สเตนเลส ระงับกลิ่นได้อย่างแท้แน่นอน ก้อนเดียวใช้ทั้งปีทั้งชาติ เป็นมรดกตกทอด พันปีก็ไม่มีเสื่อม ซื้อครั้งเดียวโคตรคุ้ม"
สบู่สเตนเลสคืออะไร ?
จากการค้นหาผลิตภัณฑ์ สบู่สเตนเลส ที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน ถูกระบุว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากสเตนเลส มีคุณสมบัติเพื่อใช้สำหรับล้างมือ ดับกลิ่นคาว หรือกลิ่นเหม็นต่างๆ เช่น อาหารทะเล หัวหอม กระเทียม หรือผักผลไม้ที่มีกลิ่นต่างๆ โดยตัวสบู่จะไม่ละลาย พร้อมกับระบุว่าเหมาะสำหรับใช้ในครัว (ลิงก์บันทึก)

เราค้นหาด้วยคำสำคัญและพบว่า ที่ผ่านมามีผู้ทดลองนำสบู่สเตนเลสมาทำการทดสอบทำความสะอาดกลิ่นด้วยอาหารและสิ่งของต่างๆ เช่นที่นี่ และนี่ แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนว่าสามารถขจัดกลิ่นได้ทุกอย่างจริงหรือไม่ (ลิงก์บันทึกที่นี่ และ นี่)
สเตนเลสใช้ทำความสะอาดร่างกายได้หรือไม่ ?
เราสอบถามไปยัง รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ หรือ อาจารย์อ๊อด อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งอธิบายว่า สเตนเลส เกิดจากโลหะผสมระหว่างเหล็ก คาร์บอน และโครเมียม โดยโครเมียมจะทำหน้าที่เป็นฟิล์มเคลือบบางๆ อยู่บนพื้นผิว มีคุณสมบัติช่วยป้องกันวัสดุไม่ให้ถูกกัดกร่อนได้โดยง่าย ทำให้สเตนเลสมีคุณสมบัติที่ทนทานต่อการเกิดรอย ยากต่อการขึ้นสนิม (ลิงก์บันทึก)

แต่สเตนเลสไม่มีคุณสมบัติใดที่เกี่ยวข้องกับการทำความสะอาดร่างกาย เนื่องจากการที่ร่างกายสกปรกนั้น เกิดจากเหงื่อไคล ไขมัน และคราบสกปรก ซึ่งต้องใช้น้ำในการทำความสะอาด แต่บางครั้งน้ำเพียงอย่างเดียวอาจจะทำความสะอาดได้ไม่หมด เนื่องจากเหงื่อไคลหรือคราบสกปรก เป็นสารที่ไม่มีขั้ว จึงไม่ละลายน้ำ จึงจำเป็นต้องมี สบู่ หรือสาร Surfactant ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารทำความสะอาด ที่ทำหน้าที่จับเหงื่อไคลออกมากับน้ำ แต่คราบมันที่ออกมากับน้ำจะยังอยู่ ซึ่งการใช้สบู่สเตนเลส ก็จะยิ่งทำให้ไขมันติดทั้งตัวสบู่เอง และทำให้กลิ่นและความมันยังคงอยู่เหมือนเดิม
"การทำความสะอาดร่างกายต้องใช้สาร Surfactant เช่น สบู่จริงๆ แต่หากใช้สเตนเลสก็ไม่ทำให้เหงื่อไคล หรือคราบสกปรก หลุดไปไหน แต่จะยังคงอยู่เหมือนเดิม และไม่มีประโยชน์อะไร มีแค่ความสวยงามเพียงเท่านั้น"
ส่วนสาร Surfactant ที่หาได้ในธรรมชาติ สามารถหาได้จากลูกประคำดีควาย ซึ่งมีสาร Surfactant อยู่ในผลของลูกด้วยเช่นเดียวกัน
คุณสมบัติของสบู่สเตนเลส
เรายังสอบถามกับ รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งระบุว่า ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่า สบู่สเตนเลส สามารถใช้ทำความสะอาดได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่โดยคุณสมบัติของสเตนเลส สตีล นั้น สเตนเลสถือว่ามีส่วนผสมของโครเมียม ซึ่งทฤษฎีของสบู่สเตนเลสเชื่อว่า โครเมียมที่อยู่บนชั้นผิวของโลหะ เมื่อถูกน้ำจะเกิดสภาวะโครเมียมออกไซด์เกิดขึ้น

เชื่อว่า โครเมียมออกไซด์จะไปทำปฏิกิริยากับสารที่ทำให้เกิดกลิ่นซัลเฟอร์ หรือ กำมะถัน ซึ่งเมื่อนำมาถูกกับมือ จะทำให้ชั้นของโครเมียมออกไซด์หลุดออก และทำให้กลิ่นหายไปด้วย และเมื่อใช้เสร็จหรือวางทิ้งไว้ ชั้นของโครเมียมออกไซด์ก็จะเกิดขึ้นใหม่ได้เองตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นทฤษฎีที่ระบุไว้ว่าเป็นคุณสมบัติของสบู่สเตนเลส (ลิงก์บันทึก)
ยังไม่มีหลักฐานยืนยันที่ชัดเจน ซึ่งในการทดลองก็ยังไม่มีรายงานที่ระบุว่า สบู่สเตนเลส สามารถขจัดกลิ่นได้อย่างหมดจด
สำหรับการทำความสะอาดร่างกายของสบู่สเตนเลสนั้นมองว่า คงไม่สามารถทำให้ร่างกายสะอาดหรือฆ่าเชื้อโรคได้แต่อย่างใด
กระบวนการตรวจสอบ
✅ เราใช้การยืนยันจากนักวิชาการ
นักวิชาการต่างยืนยันถึงคุณสมบัติของสเตนเลส ที่ไม่สามารถใช้สำหรับทำความสะอาดร่างกายได้แต่อย่างใด
✅ การค้นหาจากคำสำคัญ
ผลการค้นหาจากคำสำคัญ ทำให้พบการทดสอบที่ผ่านมา ซึ่งยืนยันตรงกันว่า สบู่สเตนเลส ไม่สามารถใช้ทำความสะอาดร่างกายตามที่กล่าวอ้างได้แต่อย่างใด
ผลกระทบของข้อมูลเท็จนี้เป็นอย่างไร ?
คลิปดังกล่าว ถือว่ามีผู้รับชมจำนวนมาก โดยมีผู้เข้าชมถึงกว่า 1.1 ล้านครั้ง รวมถึงแชร์คลิปดังกล่าวไปถึงกว่า 150 ครั้ง จึงอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด และหลงซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมาใช้ ซึ่งพบว่ามีผู้สนใจสอบถามไปเป็นจำนวนมาก โดยส่วนหนึ่งต้องการหาสบู่สเตนเลสมาใช้ หรือสอบถามหาสถานที่ซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวพบว่ามีราคาตั้งแต่ 20 บาท จนถึง 200 บาท

ข้อแนะนำเมื่อได้ข้อมูลเหล่านี้ ?
ตรวจสอบแหล่งที่มา
✅ ข้อมูลมาจากเว็บไซต์หรือบุคคลที่มีความน่าเชื่อถือหรือไม่?
✅ มีการอ้างอิงงานวิจัยหรือหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนหรือไม่?
✅ มีผู้เชี่ยวชาญด้านเคมีหรือแพทย์คนใดรับรองข้อมูลนี้หรือไม่?
เปรียบเทียบกับข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้
✅ ดูบทความจากเว็บไซต์ทางวิทยาศาสตร์หรือสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียง
แจ้งเตือนและให้ความรู้แก่ผู้อื่น
✅ หากพบว่ามีการเผยแพร่ข้อมูลผิดพลาดในโซเชียลมีเดีย สามารถเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยแจ้งเตือน และอธิบายข้อเท็จจริง
✅ แชร์ข้อมูลที่ถูกต้องจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เพื่อช่วยลดการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จ