ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ซื้อหนี้ประชาชน "กับดักความจน" คนไทย "สารพัดหนี้" รุมเร้า

เศรษฐกิจ
19 มี.ค. 68
18:30
286
Logo Thai PBS
ซื้อหนี้ประชาชน "กับดักความจน" คนไทย "สารพัดหนี้" รุมเร้า

ขณะที่โครง "คุณสู้ เรา (ยังไม่พร้อมที่จะ) ช่วย" ยังไม่ไปถึงไหน และต้องขยายเวลาต่อถึงเดือนเม.ย.2568 นี้ "นายทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ผุดไอเดีย "ซื้อหนี้ประชาชน" ออกจากระบบธนาคาร และล้างเครดิตบูโร เปิดให้ภาคเอกชนมาลงทุน โดยไม่ต้องใช้เงินรัฐ ระหว่างลงพื้นที่ช่วยหาเสียงเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครพิษณุโลก เมื่อวันที่ 17 มี.ค. 2568 ที่ผ่านมา

อดีตนายกฯ ทักษิณ บอกว่า ได้พูดคุยกับน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ แล้วว่า จะทำอย่างไรให้หนี้สินของคนไทยหมดไป และนี่เป็นแค่การ "คิดดังๆ ยังไม่บอกว่าจะทำ"

พลันที่มีการโยนหิน ก็มีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและคัดค้าน เนื่องจากการ "ซื้อหนี้ประชาชน" มีความเสี่ยงสูง หากรัฐบาลทำได้จริงก็จะอาจจะพลิกฟื้นเศรษฐกิจ และยังช่วยลดภาระงบประมาณและหนี้สาธารณะ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจจากเม็ดเงินลงทุนจากภาคเอกชน ประชาชนก็จะได้ประโยชน์สามารถกลับคืนสู่ระบบ

แต่หากทำไม่ได้ และประชาชนที่มีหนี้สิน ไม่แก้ไขพฤติกรรมการเงินของตัวเอง ไม่ว่า รัฐจะมีมาตรการซื้อหนี้อีกกี่ครั้งก็ตาม ผู้ที่ได้รับเดือดร้อน คงหนีไม่พ้นประชาชนส่วนใหญ่ที่ต้องเป็นผู้ใช้หนี้สาธารณะ ขณะที่คนถูกซื้อหนี้ไปแล้ว ก็จะวนลูปกลับมาที่เดิม คือ เป็นหนี้ซ้ำซากไม่จบ-ไม่สิ้น

ชี้ "มาตรการยกหนี้" มีข้อดี แต่รัฐต้องชัดเจน

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยกล่าว ถึงแนวคิดดังกล่าวว่า ยังต้องรอดูความชัดเจนของนโยบาย โดยเฉพาะการสื่อสารของภาครัฐ เพราะปัจจุบันประชาชนบางส่วนเข้าใจว่ามาตรการนี้เป็นการ "ยกหนี้" ทั้งที่แท้จริงแล้ว เป็นการซื้อหนี้เสียมาบริหาร ซึ่งแนวคิดดังกล่าวมีข้อดี ในการช่วยบรรเทาภาระของประชาชนที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ และข้อควรพิจารณาในด้านการดำเนินการให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

ข้อดี คือ มาตรการนี้อาจช่วยให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ เช่น ค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น และอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับสูง มีโอกาสได้รับ การปรับโครงสร้างหนี้ และกลับมามีเสถียรภาพทางการเงินมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติ และมีโอกาสในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

แต่ข้อควรระวังสำคัญที่ต้องพิจารณา คือ แนวทางการจัดการประวัติเครดิตบูโร ซึ่งหอการค้าไทยเห็นว่าประชาชนสามารถมีประวัติเครดิตบูโรได้ แต่ไม่ควรถูกใช้เป็นหลักเกณฑ์ตัดสินเพียงอย่างเดียวในการพิจารณาสินเชื่อ

โดยเฉพาะการล้างข้อมูลเครดิตบูโรทั้งหมดอาจส่งผลต่อการประเมินพฤติกรรมการชำระหนี้ของประชาชน ซึ่งจำเป็นต่อการกำหนดแนวทางช่วยเหลือที่เหมาะสม และต้องมีการกำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนในการคัดกรองกลุ่มลูกหนี้ที่สมควรได้รับความช่วยเหลือ

"หากรัฐบาลจะเดินหน้ามาตรการนี้ ควรมีเกณฑ์กำกับดูแลที่รัดกุมและชัดเจนโดยมุ่งเน้นไปที่หนี้เสียที่เกิดจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่หนี้ที่เกิดจากพฤติกรรมใช้จ่ายเกินตัว" ประธานหอการค้ากล่าว

นอกจากนี้ ควรมีมาตรการเสริม เช่น การให้คำปรึกษาทางการเงิน การสนับสนุนด้านอาชีพ เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติ

และอีกแนว ทางที่สำคัญ คือ การประสานความร่วมมือกับสถาบันการเงินและภาคเอกชน เพื่อช่วยบริหารจัดการหนี้ในลักษณะที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพ เช่น การใช้กลไกปรับโครงสร้างหนี้ที่มีอยู่ในภาคเอกชนควบคู่ไปกับการช่วยเหลือของภาครัฐ โดยการกำหนดแนวทางต้องหาจุดสมดุลระหว่าง การบรรเทาภาระหนี้ของประชาชน และ การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอดังกล่าวเป็นเพียงหนึ่งในความคิดเห็นของหอการค้า ซึ่งยังต้องมีการระดมความคิดเห็นจากหลายภาคส่วน ทั้งภาคธุรกิจ ภาคการเงิน หน่วยงานภาครัฐ และผู้เชี่ยว ชาญด้านเศรษฐกิจ เพื่อให้ได้แนวทางที่เกิดผลเป็นรูปธรรมและสามารถแก้ไขปัญหาหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

"สิ่งสำคัญสุด คือ การเร่งหาทางออกให้กับประชาชนโดยเร็วที่สุด มิฉะนั้นไทยจะไม่สามารถก้าวข้าม “กับดักรายได้ปานกลาง” ได้ และจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะยาว"

แนวคิด "ซื้อหนี้เสียประชาชน" หวั่นซ้ำรอย "ดิจิทัลวอลเล็ต"

น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวว่า หากรัฐบาลรับซื้อหนี้เสียคืนจากประชาชน ต้องชัดเจนว่า ประเด็นแรกจะซื้อในปริมาณเท่าไหร่ เนื่องจากนายทักษิณ ระบุว่าจะซื้ออกมาทั้งหมด เพราะเพียงแค่หนี้ Non-Performing Loan หรือ NPL ก็มีมูลค่าหนี้อยู่ที่ 1.2 ล้านล้านบาท แต่เวลาธนาคารขายหนี้ให้แก่บริษัทบริหารสินทรัพย์ ก็ไม่ได้ขายมูลค่าหนี้สินในราคา 100 เปอร์เซ็นต์

"แม้จะไม่ได้เงิน 1.2 ล้านล้านบาท ก็ยังต้องใช้ถึง 3-5 แสนล้านบาท ขึ้นอยู่กับว่าจะต่อรองกับธนาคารพาณิชย์ว่า จะซื้อในราคาเท่าไหร่ แต่มูลค่าที่ต้องใช้ในการซื้อยังสูงมาก ปัจจุบันเรามีบริษัทในการซื้อหนี้กับธนาคารพาณิชย์อยู่แล้ว หรือ ธนาคารบริหารสินทรัพย์ 87 แห่ง มีมูลค่ารวมของหนี้ที่จัดการกันทั้งหมดแค่ 3 แสนล้านบาท ถ้าจะต้องใช้เงินมากขนาดนี้ บริษัทบริหารสินทรัพย์ที่มีอยู่ เอาเงินมารวมกันก็ยังไม่มีเงินซื้อ" น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

ส.ส.พรรคประชาชน ระบุว่า การซื้อหนี้เป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุด และธนาคารพาณิชย์จะได้ประโยชน์ที่สุด เพราะจะเคลียร์หนี้เสียที่มีอยู่ ...ถามว่า จะทำให้เศรษฐกิจดีได้เลยหรือไม่ ก็ยังต้องทำอีกหลายเรื่อง เพราะแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคตไม่ดี และสุดท้ายธนาคารก็ยังไม่ปล่อยกู้ใหม่ เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต จะมีแต่ต่ำลง กลัวจะไม่ได้เงินคืน

เปิดพฤติกรรมคนไทย "เป็นหนี้เร็ว-เกินตัว-นาน-นอกระบบ"

ข้อมูลเครดิตบูโร คำนวณโดย สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๊วย อึ้งภากรณ์ ปี 2566 ระบุว่า คนไทย 25.5 ล้านคน หรือมากกว่า 1 ใน 3 (38.2%)ของประชากรไทยมีหนี้ มูลค่าหนี้ เฉลี่ยอยู่ที่ 259,291 บาทต่อคน ขณะที่คนที่มีหนี้เกิน 1 ล้านบาท มีสัดส่วนอยู่ที่ 13.5 % คนไทยที่เป็นหนี้ มีหนี้เฉลี่ย 3.3 บัญชีต่อคน
หนี้ครัวเรือนของไทยคิดประมาณ 91 % ต่อจีดีพี

ส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่อาจไม่สร้างรายได้ โดย 67 เปอร์เซ็นต์ ของบัญชีหนี้ เปนสินเชื่อววนบุคคลและบัตรเครดิต จำนวนนี้เป็นบัญชีหนี้ที่อาจสสร้างรายได้ หรือความมั่งคั่ง เช่น หนี้บ้าน หนี้ธุรกิจและหนี้เพื่อการทำเกษตรมีเพียงประมาณ 17 %

คนไทยมีพฤติกรรม เป็นหนี้เร็ว 1 ใน 2 ( 52.7 %) ของกลุ่มคนที่เพิ่งเริ่มทำงาน อายุระหว่าง 20-35 ปี มีหนี้ และสัดส่วนไม่ลดลงมาหลายปีแล้ว และมีหนี้ที่อาจไม่สร้างรายได้ เช่น หนี้บัตรเครดิต หนี้ส่วนบุคคล หนี้รถ สูงที่สุด มีหนี้เสียสูงสุดที่ (24 % )

และเป็นหนี้เกินตัว คือ กลุ่มเกษตรกรมีสัดส่วนรายที่นำไปจ่ายคืนหนี้ อยู่ที่ประมาณ 34 % และกลุ่มผู้มีรายได้น้อยอยู่ที่ 41 % ซึ่งทำให้มีเงินเหลือใช้จ่ายในสิ่งจำเป้น หรือเก็บออมน้อยลง โดย 40 % ของลูกหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล และบัตรเครดิตจ่ายแค่ขั้นต่ำ ทำให้หนี้เพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ

นอกจากนี้ ยังเป็นหนี้เพราะมีเหตุจำเป็น กล่าวคือ มีคนไทยเพียง 22.4 % ที่มีเงินออมเผื่อฉุกเฉินในระดับที่เหมาะสม และสามารถรองรับการหยุดงาน 6 เดือนขึ้นไป ขณะที่เกือบ 50 % ของคนไทยมีเงินออมเผื่อฉุกเฉินไม่เพียงพอ จึงทำให้ต้องก่อหนี้เ เพื่อรองรับเหตุที่ไม่คาดคิด

เป็นหนี้นาน เพราะ 25.7 % ของคนที่เกษียณแล้ว อายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป ยังใช้หนี้ไม่หมด โดยมีหนี้เฉลี่ย 419,915 บาทต่อคน

เป็นหนี้เสีย หรือ NPL ( Non-performing Loan ) หรือหนี้ที่ค้างชำระเกิน 90 วัน หรือไม่ได้ชำระคืนตามข้อกำหนดตกลงกันตามสัญญา 23 % หรือประมาณ 1 ใน 5 ของคนไทยที่เป็นหนี้ในเครดิตยูโรมีหนี้เสีย และหนี้เสียของคนไทยเพิ่มขึ้นก้าวกระโดดจากปี 2563 ที่ 17% มาเป็น 23 % ในปี 2566

เป็นหนี้นอกระบบ โดย 42.3% ของผู้ตอบแบบสำรวจ มีหนี้นอกระบบ โดยเฉลี่ยคนละ 54,300 บาท และเสียดอกเบี้ย ที่ประมาณ 10 % ต่อเดือน หรือ 120 % ต่อปี ทั้งนี้ลูกหนี้นกระบบที่กู้ยืมเงินแก๊งหมวกกันน็อก ต้องเสียดอกเบี้ยเฉลี่ย 20 % หรือสูงถึง 240 %

ที่ผ่านมามีประชาชนลงทะเบียนแก้หนี้นอกระบบตามมาตราการของกระทรวงมหาดไทย สูงถึง 1.46 แสนราย โดยเป็นยอดหนี้ที่สูงถึงกว่า 10,475 ล้านบาท และมีลูกหนี้ที่สามารถไกล่เกลี่ยกับเจ้าหนี้สำเร็จแล้วมากกว่า 16,123 ราย

พลิกนโยบาย "แก้หนี้ประชาชน" รัฐบาลไทย

ในปี 2544-2549 ยุครัฐบาลพรรคไทยรักไทย "ทักษิณ ชินวัตร" นายกรัฐ มนตรีในขณะนั้น ได้ออกนโยบายพักชำระหนี้เกษตรกร โดยให้เกษตรกรพักชำระหนี้กับธนาคารการเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) เป็นเวลา 3 ปี

ไม่นับรวมโครงการ "กองทุนหมู่บ้าน" ที่จัดสรรเงินกองทุนหมู่บ้านละ 1 ล้านบาท เพื่อใช้เป็น "แหล่งทุน" ให้ชาวบ้านกู้ยืมไปประกอบอาชีพ แต่กระนั้นก็มีกองทุนจำนวนไม่น้อย ไม่สามารถใช้หนี้ได้ตามกำหนดจนเกิดภาวะ "หนี้เสีย" และ "ล้มละลาย"

ต่อมาในปี 2551-2554 เข้าสู่ยุค รัฐบาลประชาธิปัตย์ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ไทยต้องเผชิญปัญหาวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ทำให้รัฐบาลต้องนำมาตรการ "พักชำระหนี้" และ "ปรับโครงสร้างหนี้" มาช่วยเหลือประชาชนและธุรกิจ SMEs

ปี 2554-2557 รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ภายใต้การนำของ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ได้เกิดโครงการสินเชื่อเกษตรกรให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ และมีโครงการคลินิกแก้หนี้ โดยตั้งศูนย์กลางประสานงาน ระหว่างลูกหนี้กับสถาบันการเงิน

ปี 2557-2566 รัฐบาล "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ซึ่งทั่วโลกต้องเผชิญกับวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว ทำให้รัฐบาลต้องงัดโครงการปรับโครงสร้างหนี้และพักชำระหนี้ ออกมาใช้อีกครั้ง เพื่อช่วยพยุงกลุ่ม SMEs ที่ได้รับผลกระทบหนัก

ปี 2567-2568 รัฐบาลพรรคเพื่อไทย เศรษฐา ทวีสิน และ แพทองธาร ชินวัตร ได้มีมาตรการ "พักชำระดอกเบี้ยบ้านและรถยนต์" 3 ปี และโครงการ "บสย.พร้อมช่วย" ผุดโครงการ คุณสู้ เราช่วย และไอเดียล่าสุดของ "ทักษิณ"บิดานายกรัฐมนตรี คือ ซื้อหนี้ประชาชนที่คิดแล้ว แต่ยังไม่ได้ทำ 

เป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่า ที่สุดแล้วมาตรการแก้หนี้ท่วมเมืองให้กับประชาชนด้วยวิธีการดังกล่าวจะสามารถเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่

อ่านข่าว:

"จุลพันธ์" มั่นใจ "ซื้อหนี้ประชาชน" เกิดในรัฐบาลนี้

“คลัง” เด้งรับ ซื้อหนี้เสียประชาชน ยึดโมเดลปี40 เล็งหารือส.ธนาคารวันนี้

เทียบเปรียบแนวทางแก้หนี้เสีย ช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง