Valentine's Day อินเทรนด์เทศกาลวันวาเลนไทน์ Thai PBS Sci & Tech ไม่พลาดตกขบวนด้วยการนำ “ความรัก” ที่เป็นเรื่องของหัวใจ แต่รู้หรือไม่ว่า “วิทยาศาสตร์” ก็เข้ามาข้องเกี่ยวได้ โดยจะเกี่ยวข้อง - สัมพันธ์อย่างไรตามมาอ่านกันได้เลย
“วันวาเลนไทน์” เป็นช่วงเวลาที่ใคร ๆ มักจะนึกถึงความรัก เพราะความรักคือสิ่งที่สวยงาม คือ พลังที่ขับเคลื่อนความปรารถนาของมนุษย์ แต่ขณะเดียวกันความรักช่างมืดมิดและสร้างความทุกข์ให้กับหลาย ๆ คนได้เช่นเดียวกัน พวกเราเคยสงสัยกันบ้างหรือไม่ว่า ความรักเกิดขึ้นได้อย่างไร ? และเมื่อเกิดความรักขึ้นแล้ว ร่างกายของเราจะเกิดปฏิกิริยาอะไรขึ้นบ้าง วันนี้เรามีคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้มาเล่าให้ทุกคนได้ฟังกัน
ก่อนที่จะเริ่มเกิดความรู้สึกรักนั้น จะมีสารเคมีชนิดหนึ่งที่เป็นตัวนำพาให้เราเกิดความรัก เรียกว่า “ฟีโรโมน” (Pheromones) ซึ่งเป็นสารเคมีที่สัตว์หลายชนิดสร้างขึ้นมาเพื่อดึงดูดเพศตรงข้าม ในมนุษย์ก็มีเช่นเดียวกัน ฟีโรโมนนี้ไม่สามารถสัมผัสได้จากการสูดดมทางจมูก แต่สามารถรับรู้ได้จากสมอง ซึ่งคนที่จะได้รับกลิ่นนี้ได้ต้องมีฟีโรโมนตรงกับเราเท่านั้น
เฮเลน ฟิเชอร์ นักมานุษยวิทยา จากมหาวิทยาลัยรัตเกอร์ รัฐนิวเจอร์ซีย์ ได้แบ่งความรักออกเป็น 3 ระดับ คือ ความใคร่ (Lust) ความเสน่หา (Attraction) และความผูกพัน (Attachment)
1. ความใคร่
เป็นช่วงเวลาที่ทำให้เกิดความหลงใหล ความใคร่ และเกิดแรงขับทางเพศ ซึ่งความรู้สึกของ คนสองคนในช่วงนี้ร่างกายจะถูกกระตุ้นด้วยฮอร์โมนที่สำคัญอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ ฮอร์โมนเพศหญิง คือ เอสโตรเจน (Estrogen) และฮอร์โมนเพศชายคือ เทสโทสเตอโรน (Testosterone) ทำให้รู้สึกเขินเวลา มองตากัน หรือได้เจอกันแล้วเกิดอาการตื่นเต้น หัวใจเต้นแรง
2. ความเสน่หา
เป็นช่วงเวลาแห่งการตกหลุมรัก ซึ่งเป็นอีกช่วงที่การใช้ชีวิตของเราจะเปลี่ยนแปลงไป เพราะความรักที่เข้าสู่ช่วงนี้แล้วทำให้หลายคนเริ่มมีอาการเพ้อและคิดถึงคนรักตลอดเวลา อาการที่เกิดขึ้นในช่วงนี้จะถูกควบคุมโดยสารสื่อประสาทกลุ่มที่เรียกว่า โมโนอะมิเนส (Monoamines) 3 ชนิด คือ โดพามีน (Dopamine) สารแห่งความสุขและความพึงพอใจที่หลั่งออกมา เมื่อร่างกายเราได้รับสิ่งที่เราปรารถนา ฮอร์โมนเอพิเนฟรีน (Norepinephrine) หรือ อะดรีนาลิน (Adrenalin) ฮอร์โมนที่ทำให้ร่างกายตื่นตัว หัวใจเต้นแรง เมื่อได้พบกับใครสักคนที่เรารัก และสุดท้ายคือ เซโรโทนิน (Serotonin) เป็นสารชีวเคมีที่สำคัญต่อกลไลการตกหลุมรัก ส่งผลต่ออารมณ์และการแสดงออกของเรา ในขณะที่สมองหลั่งเซโรโทนิน เราอาจแสดงพฤติกรรมบางอย่างออกมาแบบไม่รู้ตัว ในขณะที่เรารู้สึกรักใครสักคน ดังนั้น ความรักที่มีทั้งรัก ทั้งซึ้ง ทั้งเหงารวมอยู่ด้วยกันก็เกิดจากสารเซโรโทนิน
3. ความผูกพัน
ในช่วงเวลานี้ร่างกายจะถูกควบคุมโดยฮอร์โมนสำคัญ 2 ชนิด คือ ออกซีโทซิน (Oxytocin) เป็นฮอร์โมนที่ทำให้จิตใจสงบ ปลอดภัย คลายเครียด โดยออกซิโทซินจะหลั่งออกมาเมื่อเรามี การกอด การสัมผัส หรือใกล้ชิดกัน ให้เกิดความรัก ความผูกพัน และความเชื่อใจซึ่งกันและกันขึ้น นอกจากนี้ ยังมีฮอร์โมนวาโซเพรสซิน (Vasopressin) เป็นฮอร์โมนที่ช่วยให้คู่รักนั้นมีความรู้สึกผูกพันกันยาวนานมากขึ้น โดยสมองจะหลั่งสารวาโซเพรสซินออกมาหลังจากมีความสัมพันธ์กันของคู่รัก เป็น ฮอร์โมนที่ทำให้มีความรู้สึกผูกพันหวงแหนอยากดูแลและปกป้องคนรักของตน
ถึงแม้ว่าความรักจะเป็นปฏิกิริยาทางเคมีที่เกิดขึ้นภายในร่างกายเพื่อตอบสนองความต้องการกับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อม แต่เราควรเข้าใจอยู่เสมอว่าความรักนั้นยังขึ้นอยู่กับสิ่งต่าง ๆ อีกมากมาย ไม่ใช่แค่เพียงสารเคมีในร่างกายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงปัจจัยทางสังคม วัฒนธรรม รวมถึงการเรียนรู้อีกด้วย
ดังนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าต่อจากนี้ไปเราจะต้องรักกันด้วยวิทยาศาสตร์ แต่เราควรให้ความรักที่เกิดขึ้นดำเนินไปตามธรรมชาติและคำนึงถึงความถูกต้องเหมาะสมเป็นสำคัญ
อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS
แหล่งข้อมูลอ้างอิง : องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ, examinedexistence
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech