นัดชิงชนะเลิศ ฟุตบอลโลก 2022 ที่เพิ่งได้บทสรุปไปว่า อาร์เจนตินา เป็นทีมที่คว้าแชมป์ได้ในครั้งนี้
ส่วนทีมที่ปราชัยอย่าง ฝรั่งเศส แม้ดาวยิงอย่าง "คีเลียน เอ็มบัปเป้" จะสามารถซัดแฮตทริก ยิงได้ 3 ประตูในนัดชิงชนะเลิศ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่าย ๆ แต่ก็ไม่เพียงพอต่อการพาให้ทีมของเขาชูถ้วยแชมป์โลกในครั้งนี้
จากฟอร์มอันยอดเยี่ยมตลอดการแข่งขันของ ตัวรุกวัย 24 ปี จากทีม เปแอสเช ทำให้เขายิงประตูไปทั้งหมด 8 ประตู และคว้ารางวัลดาวซัลโวไปครอง แต่ในขณะที่เขาเดินขึ้นไปรับรางวัลนี้ สีหน้าของเขาบ่งบอกได้เลยว่า รางวัลดาวซัลโว ที่เขาได้รับ มันเทียบไม่ได้กับการป้องกันแชมป์ฟุตบอลโลกของฝรั่งเศส
ในฟุตบอลโลกปี 2018 นับเป็นการเล่นฟุตบอลโลกครั้งแรกของเขา ในวัย 19 ปี และในครั้งนั้นเขาทำไป 4 ประตู และ 1 ใน 4 ประตูนั้น เขาทำได้ในนัดชิงชนะเลิศ โค่นทีมชาติโครเอเชียและพาทีม"ตราไก่" คว้าแชมป์โลกมาครอง
มาในปีนี้ ฟุตบอลโลก 2022 ประสบการณ์ของเขาเพิ่มพูนมากขึ้น และปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เขาคือคนสำคัญของทีมชาติฝรั่งเศสจริง ๆ จากนัดชิงชนะเลิศกับอาร์เจนตินานั้น กูรูฟุตบอล ยกให้เขาเป็น "ตัวแบก" ของทีม ถ้าไม่มีเขา ฝรั่งเศสคงไม่ได้ตามตีตื้นจนมาถึงการดวลลูกจุดโทษได้แน่ ๆ
อีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญ ในการถ่ายทอดสด หลาย ๆ คนคงได้เห็น "เอ็มมานูเอล มาครง" ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ไปชมเกมในสนามด้วย และเมื่อจบการแข่งขัน ผู้นำฝรั่งเศส ได้เดินลงมาปลอบใจ "เอ็มบัปเป้" ที่นั่งผิดหวังกับความพ่ายแพ้อยู่
"มาครง" กล่าวชื่นชม "เอ็มบัปเป้" ว่า
"เอ็มบัปเป้ เป็นผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมมาก เขายังอายุน้อย ผมปลอบเขาไปว่าเขาได้ทั้งแชมป์โลก ดาวซัลโวบอลโลกแล้ว และบอกเขาว่าเราภูมิใจกับเขามาก"
นับได้ว่า "เอ็มบัปเป้" มีความสำคัญ ถึงขนาด "ผู้นำประเทศ" ให้ความยกย่องกับเขาขนาดนี้
และนับจากนี้ ในยูโร 2024 ที่เยอรมนี และ ฟุตบอลโลกปี 2026 ที่อเมริกาเหนือ (สหรัฐฯ แคนาดา เม็กซิโก เป็นเจ้าภาพร่วม) เชื่อเหลือเกินว่า ฝีเท้าของ "เอ็มบัปเป้" จะพัฒนาขึ้นมากกว่าเดิมอีก เขาจะพาทีมชาติฝรั่งเศสเป็นตัวเต็งในการคว้าแชมป์ในฟุตบอลรายการใหญ่ ๆ และแน่นอนว่า เขาจะมายืนแทนที่ คริสเตียโน โรนัลโด และ ลิโอเนล เมสซี เป็นนักฟุตบอลที่ขึ้นว่าดีที่สุดแห่งยุคอย่างไม่ต้องสงสัย