ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

"สตรีนิยม" ก่อนกาลและผู้หญิงหัวขบถในนวนิยาย “ปีศาจ”


Literature

7 มี.ค. 68

พีรชัย พสุทันท์

Logo Thai PBS
แชร์

"สตรีนิยม" ก่อนกาลและผู้หญิงหัวขบถในนวนิยาย “ปีศาจ”

https://www.thaipbs.or.th/now/content/2428

"สตรีนิยม" ก่อนกาลและผู้หญิงหัวขบถในนวนิยาย “ปีศาจ”
บริการเสริมจาก Thai PBS AI


“ปีศาจ” นวนิยายของเสนีย์ เสาวพงศ์เป็นที่พูดถึงทุกครั้งที่กระแสการเมืองเข้มข้น แต่นอกเหนือจากสัญญะทางการเมืองแล้ว ผลงานคลาสสิกชิ้นนี้ยังแฝงเรื่อง “สตรีนิยม (feminism)” ไว้อย่างน่าสนใจอีกด้วย

แรกเริ่มเดิมที เสนีย์ เสาวพงศ์ หรือศักดิชัย บำรุงพงศ์ (พ.ศ. 2461-2557) ได้เขียนนวนิยายเรื่องปีศาจออกเป็นตอน ๆ เพื่อตีพิมพ์ลงบนนิตยสารสยามสมัยระหว่างปี พ.ศ 2496-97 ต่อมา สำนักพิมพ์เกวียนทองได้นำเรื่องมารวมเล่มในปี พ.ศ. 2500 นวนิยายเล่มนี้มีคู่พระ-นางสายพลาโทนิก (platonic) ชื่อ “สาย สีมา” ทนายหนุ่มลูกชาวนา และ “รัชนี” นายธนาคารไฟแรงลูกสาวของ “ท่านเจ้าคุณ” เชื่อว่าหลายคนยังคงจำโมโนล็อกดังของนวนิยายเรื่องนี้กันได้ ซึ่งมาจากช่วงไคลแมกซ์ที่สาย สีมา เปิดหน้าท้าชนกับเหล่าเจ้าขุนมูลนายระหว่างงานเลี้ยงในบ้านของรัชนี:

ผมเป็นปีศาจที่กาลเวลาได้สร้างขึ้นมาหลอกหลอนคนที่อยู่ในโลกเก่า ความคิดเก่า ทำให้เกิดความละเมอหวาดกลัว และไม่มีอะไรที่จะเป็นเครื่องปลอบใจท่านเหล่านี้ได้ เท่ากับไม่มีอะไรหยุดยั้งความรุดหน้าของกาลเวลาที่จะสร้างปีศาจเหล่านี้ให้มากขึ้นทุกที

แต่จุดน่าสนใจของปีศาจไม่ได้มีเพียงแค่โมโนล็อกดังกล่าวเท่านั้น ตลอดทั้งเรื่อง สาย สีมา และรัชนี ต้องต่อสู้กับค่านิยมเก่า ๆ ในยุคที่ทุนนิยมกำลังรุกเข้ามาทั้งในเขตเมืองและชนบท สาย สีมาต้องเผชิญกับ “ทางสองแพร่ง” ว่าจะช่วยว่าความให้ชาวนาในบ้านเกิดที่ประสบปัญหาหนี้สิน หรือตอบแทน “มหาจวน” อดีตพระที่กลายเป็นนายทุนปล่อยกู้เงินให้ชาวบ้านกลุ่มเดียวกัน ส่วนรัชนีนั้นก็ทำทุกทางเพื่อให้ตัวเองได้เป็นอิสระจากการครอบงำของท่านเจ้าคุณ ที่หวังจะให้เธอแต่งงาน มีลูก และอยู่บ้าน ไม่ต่างจากหญิงไทยชนชั้นสูงคนอื่น ๆ

ปฏิเสธไม่ได้ว่า สาย สีมา คือตัวละคร “ไอคอน” คนหนึ่งในโลกนวนิยายไทยหลังสงคราม และโมโนล็อกของสายก็ถูกกล่าวถึงทุกครั้งที่สถานการณ์การเมืองไทยร้อนระอุ แต่อีกด้านหนึ่ง ตัวละครหญิงในปีศาจก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะรัชนีที่ถือเป็นตัวแทนผู้หญิงหัวก้าวหน้าในยุคที่คำศัพท์ “สตรีนิยม” ยังไม่ปรากฏในสังคมไทยช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

ศรอนงค์ นวศิลป์ ในบทรัชนี จากภาพยนตร์เรื่อง สาย สีมา นักสู้สามัญชน (2524) ที่ดัดแปลงจากนวนิยายเรื่อง ปีศาจ [ภาพจาก YouTube: Film Archive Thailand (หอภาพยนตร์)]

“แม่และเมีย” ที่ยังถูก “ปิตาธิปไตย” กดทับในยุคก่อนสตรีนิยม

ก่อนที่จะถอดรหัสสตรีนิยมในปีศาจผ่านตัวละครรัชนี เราต้องดูอคติที่สังคม (ไทย) มีต่อผู้หญิงเสียก่อน ไม่ว่าจะยากดีมีจนอย่างไร เมื่อโตเป็นสาว ผู้หญิงต้อง (โดนบังคับ) แต่งงาน เป็นแม่ อยู่ติดบ้าน ส่วนการหาเงินก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ชายไป จริงอยู่ที่ว่า คนเป็นแม่มีบทบาทสำคัญในการจัดการทรัพยากรต่าง ๆ ในครอบครัว รวมถึงดูแลพัฒนาการด้านอารมณ์และการเรียนรู้ของลูกหลาน แต่แนวคิดที่ว่า “ความเป็นแม่” เป็นทักษะที่ผู้หญิงมีติดตัวโดยธรรมชาตินั้น ทำให้ผู้ชาย – ที่อ้างตนว่าเป็น “ช้างเท้าหน้า” – ละเลยความสำคัญของ “ช้างเท้าหลัง” และนำมาสู่อำนาจความเป็นพ่อแม่ที่ไม่เท่าเทียมกันในครัวเรือน

ในปีศาจ ตัวละครหญิง 2 ตัวที่ยังติดหล่มอยู่ในภาพจำความเป็น “แม่และเมีย” แบบเดิม ๆ คือ “คุณหญิงวาด” แม่ของรัชนี และ “ดรุณี” พี่สาวของรัชนี ทั้งสองมองเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ของสังคม รวมถึงสนับสนุนให้รัชนีหยัดยืนด้วยตัวเอง แต่พวกเธอเองกลับหมดสิทธิ์ในการเป็นอิสระไปแล้วหลังจากที่แต่งงานและต้องอยู่ในโอวาทของผู้ชาย 
คุณหญิงวาดคือแม่และคนกลางที่ไม่มีสิทธิ์มีเสียงใด ๆ ในบ้าน

ตัวละครท่านเจ้าคุณ (ขวา) และคุณหญิงวาด (ซ้าย) จากภาพยนตร์เรื่อง สาย สีมา นักสู้สามัญชน (2524) [ภาพจาก YouTube: Film Archive Thailand (หอภาพยนตร์)]

ขณะที่ท่านเจ้าคุณไม่เคยนึกอยากให้รัชนีออกไปเรียนหนังสือและหางานทำเพราะกลัวว่าลูกสาวคนเล็กจะ “ไปมั่วสุมสมาคมกับเด็กต่ำ ๆ” แบบสาย สีมา หรือลูกนายมีหลานยายมาชาวบ้านธรรมดาคนอื่น ๆ คุณหญิงวาดห้ามอะไรรัชนีไม่ได้เลยและรู้ว่ารัชนีดื้อมาตั้งแต่เด็ก ๆ กระนั้นก็ดี คุณหญิงคงพอเข้าใจว่า แท้จริงแล้วรัชนีไม่ได้ “ดื้อ” แต่แค่อยากจะมีชีวิตและความคิดความอ่านเป็นของตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณหญิงอาจไม่เคยสัมผัสเลยในชีวิตของตัวเองก็เป็นได้ คุณหญิงจึงทำได้แค่กังวลอยู่ในใจและปล่อยให้ลูกสาวคนเล็กได้เติบโต 

แม่ของรัชนีอ่อนแอมากเกินไปที่จะคัดค้านห้ามปรามลูกคนเล็กซึ่งเป็นที่รักและตามใจมาเสียจนเคยตัวแล้วก็ได้ และในชีวิตของแม่เองก็ได้เห็นว่าเวลาและเหตุการณ์มันได้ผันแปรเปลี่ยนแปลงไปมาก และแม่ก็ได้แต่มองดูรัชนีด้วยความวิตกอยู่ในใจ

เมื่อสิ่งต่าง ๆ ไม่เป็นไปดั่งใจท่านเจ้าคุณ คุณหญิงวาดต้องทำหน้าที่เป็น “สนามอารมณ์” ให้ผู้เป็นสามี และคุณหญิงเองก็ดูจะเคยชินและชินชากับการที่ “ผัวเป็นใหญ่” เสียแล้ว ในตอนหนึ่ง ท่านเจ้าคุณรู้สึกรบกวนใจมากที่ต้องเห็นรัชนีสนิทสนมกับสาย สีมา จนตีวัวกระทบคราด ต่อว่าคุณหญิงวาดว่า “เลี้ยงลูกไม่เป็น” การตอบโต้เดียวที่คุณหญิงทำได้ คือการคิดอยู่ในใจ:

ชีวิตที่อยู่ร่วมกันมาเกือบห้าสิบปีไม่ทำให้คุณหญิงประหลาดใจแต่ประการใดในคำกล่าวหาของเจ้าคุณ ทุกครั้งที่มีอะไรผิดพลาดบกพร่องขึ้นมันก็เป็นความผิดของท่านเสมอ เจ้าคุณไม่เคยทำผิด และไม่เคยยอมรับว่าทำอะไรผิด

ตัวละครท่านเจ้าคุณ (ซ้าย) และคุณหญิงวาด (ขวา) จากภาพยนตร์เรื่อง สาย สีมา นักสู้สามัญชน (2524) [ภาพจาก YouTube: Film Archive Thailand (หอภาพยนตร์)]

อย่างไรก็ดี แม้คุณหญิงวาดจะอยู่ใต้อำนาจปิตาธิปไตย แต่เธอเองก็อาจผลิตซ้ำ “ความคิดชายเป็นใหญ่” อันบิดเบี้ยวด้วยเช่นกัน อย่างเช่นตอนที่ท่านเจ้าคุณด่ารัชนีลับหลังว่า “โง่” ที่ไปคบหาสมาคมกับสาย สีมา คุณหญิงได้ปกป้องแก้ต่างให้ลูกสาวตัวเอง ในแง่หนึ่ง การให้เหตุผลของคุณหญิงที่ว่า “ผู้ชายปลิ้นปล้อนตลบตะแลงเป็นที่หนึ่ง" จะดูฟังขึ้นไม่มากก็น้อย (คนสมัยนี้อาจจะพูดว่า ‘men are trash’ แทน) แต่กลับถูกใช้ผิดบริบท สิ่งที่ท่านเจ้าคุณและคุณหญิงวาดรังเกียจในตัวสาย สีมา ไม่ใช่ “ความเป็นผู้ชาย” แต่เป็น “สถานะลูกชาวบ้าน” ของเขาต่างหาก พิจารณาได้จากคำพูดของคุณหญิงในตอนนี้:

‘ยายเล็กไม่ใช่เด็กโง่ดอกค่ะ บางทีแกอาจจะยังเป็นเด็กไปหน่อยที่รู้ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของคน คงถูกเขาพะเน้าพะนอเอาใจนั่นแหละถึงได้พออกพอใจ ก็ผู้ชายอย่างนี้นี่น้า ปลิ้นปล้อนตลบตะแลงเป็นที่หนึ่งเลยแหละ’ คุณหญิงแก้ตัวให้กับลูกสาว

ดรุณี พี่สาวของรัชนี จากภาพยนตร์เรื่อง สาย สีมา นักสู้สามัญชน [ภาพจาก YouTube: Film Archive Thailand (หอภาพยนตร์)]

หันมาวิเคราะห์ตัวละครดรุณี พี่สาวของรัชนีกันบ้าง ก่อนที่จะมาเป็นแม่และเมียติดบ้าน ดรุณี “ไม่มีความคิดเห็นของตนเองในเรื่องความรักและการแต่งงาน” จึงยอมตกลงปลงใจที่จะแต่งงานกับ “สมบูรณ์” และถึงผู้ชายคนนี้จะไม่ได้มาจากครอบครัวขุนนางหรือชนชั้นสูง แต่ความร่ำรวยและเส้นสายก็ทำให้เขาเป็นที่ยอมรับจากท่านเจ้าคุณและคุณหญิงวาด แต่ภายหลัง ดรุณีรู้ตัวว่าตัวเองพลาดที่ยอมแต่งงานตั้งแต่ยังสาว ทำให้เธอไม่เคยออกไปใช้ชีวิตอิสระเลย ยิ่งไปกว่านั้น การขาดอิสรภาพทางการเงินและการที่รู้ว่าสามีของตนนอกใจ ก็ทำให้ดรุณีป่วยทั้งกายใจอย่างที่รัชนีและผู้อ่านเห็นได้ชัด:

รัชนีรู้สึกว่าพี่สาวของหล่อนซูบลงไปกว่าเดิม กิริยาอาการทำให้พอจะเดาได้ว่าดรุณีกำลังอยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยจะสบายใจนัก คนภายนอกอาจจะมองไม่เห็น แต่จากความเป็นจริงของชีวิตตนเอง รัชนีพอจะเข้าใจดีว่า ฐานะความมั่งมีไม่ใช่หมายความถึงความสุขเสมอไป

ดรุณียังอาจทุบทำลายความเชื่อที่ว่า ผู้หญิงย่อมมี “สัญชาตญาณความเป็นแม่” ติดตัว เพราะเธอมีพี่เลี้ยงคอยช่วยดูแลลูก ๆ ทั้งนี้ ขณะที่คุณหญิงวาดและดรุณีต่างไม่สามารถออกจากสถานะความเป็นแม่และเมียได้อีกต่อไป ดรุณีดูจะต่างออกไปจากแม่ของเธอตรงที่ว่า เธอตระหนักถึงคุณค่าของการศึกษา การทำงาน และอิสรเสรีในชีวิตของผู้หญิง ทว่าดรุณีก็ทำได้แค่เตือนน้องสาว (และผู้อ่าน) ว่า ไม่ให้มาติดหล่มชีวิตครอบครัวและชีวิตแต่งงานแบบที่เธอต้องทนทุกข์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน:

เกิดมาเป็นลูกผู้หญิง เราเป็นคนอาภัพ อยู่กับพ่อแม่ก็ต้องเชื่อฟังพ่อแม่ญาติพี่น้องผู้ใหญ่ เมื่อแต่งงานก็อยู่ในอำนาจของผัว พี่จึงอยากเตือนน้องเล็กไว้ด้วย น้องเล็กมีความรู้อย่าคิดง้อใคร หางานทำแล้วอยู่ตัวคนเดียวอย่าได้คิดแต่งงานเลยดีกว่า

“รัชนี” ต้นแบบแรก ๆ ของ “นางเอกสตรีนิยม” ในโลกวรรณกรรมไทย

หากใครเคยอ่านปีศาจ รวมถึง “ความรักของวัลยา” นวนิยายเรื่องก่อนหน้าของเสนีย์ เสาวพงศ์ ก็อาจจะพอคุ้น ๆ ว่า ที่จริงแล้วนวนิยายทั้ง 2 เรื่องนี้มีตัวละครผู้หญิงหลายตัวที่หลุดพ้นจากภาพจำและอคติเดิม ๆ เช่น “วัลยา” สาวไทยในปารีสผู้เปี่ยมด้วยมุมมองเชิงบวก หรือ “กิ่งเทียน” และแม่ของเธอที่เลี้ยงดูตัวเองได้หลังจากที่ “ผู้เป็นพ่อ” ถึงแก่กรรม แต่ในที่นี้จะขอกล่าวถึงรัชนีเป็นหลัก เพราะเธอคือตัวละครสตรีนิยมผู้ผ่านการเปลี่ยนแปลงแบบสุดขั้วมากที่สุดคนหนึ่งในโลกวรรณกรรมไทย

รัชนีและกิ่งเทียน (ขวา) จากภาพยนตร์ สาย สีมา นักสู้สามัญชน (2524) [ภาพจาก YouTube: Film Archive Thailand (หอภาพยนตร์)]

แม้ทั้งท่านเจ้าคุณและคุณหญิงวาดจะไม่เต็มใจให้รัชนีออกไปเรียนหนังสือและหางานทำนอกบ้าน แต่รัชนีก็มุ่งมั่นมากพอที่จะได้เห็นโลกภายนอก ที่สำคัญที่สุด การที่รัชนี “ดื้อ” ไม่ฟังพ่อแม่และไม่ยอมแต่งงานมีครอบครัวเหมือนพี่สาว ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะเป็นเด็กอกตัญญู สุดท้ายแล้ว เมื่อถึงเวลา คนทุกคน – ไม่ว่าจะหญิง ชาย หรือเพศใด ๆ – ก็ต้องออกไปใช้ชีวิตของตัวเอง อีกทั้งรัชนีก็โชคดีมากพอที่ได้เห็นว่า คนอาบน้ำร้อนมาก่อนก็ไม่ได้คิดถูกเสมอไปต่อให้พวกเขาจะหวังดีก็ตาม

ฉันจะต้องรักษาความเป็นตัวของตัวเองและความเป็นอิสระอันนี้ไว้ รัชนีตั้งใจมั่น ฉันเคารพต่อคุณพ่อและคุณแม่เสมอ แต่ชีวิตของพี่สาวเป็นบทเรียนสอนให้เห็นเป็นตัวอย่างว่าการตัดสินใจด้วยความตั้งใจดีของผู้ใหญ่นั้นไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเสมอไป

การมีงานทำในธนาคารบูรพาก็ทำให้รัชนีปลดล็อกตัวเองได้อีกขั้น เธอเริ่มมีอิสรภาพทางการเงินในโลกใบใหม่ – โลกที่เต็มไปด้วยความเคลื่อนไหวและขัดแย้งโดยตรงกับความเคยชินของชนชั้นนำ จากการวิเคราะห์ของชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ในบทความ “ปีศาจ กับอาการผีเข้าผีออกของปัญญาชนไทย” เจ้าขุนมูลนายจากโลกเก่าไม่จำเป็นต้องทำงาน อยู่เฉย ๆ ได้โดยไม่เป็นเดือดเป็นร้อน แถมยังมองว่าการทำงานนั้นคือกิจกรรมของชนชั้นล่าง แต่รัชนีกลับแหกขนบเดิม ๆ ออกมาได้ ในนัยหนึ่ง “โลกใบใหม่” จึงเปลี่ยนลูกท่านหลานเธออย่างรัชนีให้เป็น “เทคโนแครตชนชั้นกลาง” ได้ 

รัชนีและสาย สีมา (ขวา - รับบทโดยโปรยชัย ชโลมเวียง) จากภาพยนตร์ สาย สีมา นักสู้สามัญชน (2524) [ภาพจาก YouTube: Film Archive Thailand (หอภาพยนตร์)]

โลกใบใหม่ที่รัชนีอยู่ไม่ได้ปลูกฝังสตรีนิยมและความก้าวหน้าในชีวิตผู้หญิงเท่านั้น แต่นำเข้าองคาพยพ “ความเป็นสมัยใหม่ (modernity)” เข้ามาด้วย เช่น ความเป็นเมือง (urbanism) สินค้าต่างประเทศ การติดต่อค้าขายกับต่างชาติ ความเป็นสมัยใหม่นี้ก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้หญิง จากที่เคยนุ่งผ้าถุงก็หันมาใส่กระโปรง หรือจากที่อยู่แต่กับบ้านก็ออกไปใช้ชีวิตข้างนอก จนกล่าวได้ว่า ปีศาจคือนวนิยายเรื่องแรก ๆ ที่สะท้อนภาพความเป็นสมัยใหม่และความเปลี่ยนแปลงอันหลีกเลี่ยงไม่ได้

ขณะเดียวกัน ผลิตภัณฑ์หนึ่งที่ความเป็นสมัยใหม่แถมมาด้วยคือ “ทุนนิยม (capitalism)” ลำพังแค่การที่รัชนีได้ทำงานในธนาคารก็บ่งบอกได้แล้วว่า เทคโนแครตหญิงคนนี้ได้ยื่นเท้าข้างหนึ่งไปอยู่ข้างนายทุน (ธนาคาร) แล้ว และบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาของธนาคารบูรพานั้นก็เย้ายวนชวนให้รัชนีเคลิ้มไปกับระบบทุน (นิยม) ตั้งแต่วันแรก: 

ชั่วโมงแรกของการทำงานเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางเสียงเอะอะของธุรกิจ เสียงลูกค้าที่เข้ามาติดต่อ เสียงโทรศัพท์ ใจของรัชนียังเต้นแรงอยู่ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นของใหม่สำหรับหล่อน

อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่องราวดำเนินไป รัชนีก็เริ่มจะทนไม่ได้กับ “โลกใบเก่า” ที่เต็มไปด้วยการบังคับจากครอบครัวและความดูถูกกดขี่จากคนชนชั้นสูง เธอจึงเอ่ยปากในช่วงหนึ่งของนวนิยายว่า “ฉันอาจจะต้องทรยศและกบฏต่อครอบครัวสักวันหนึ่งก็ได้...” และวันนั้นก็มาถึงจนได้ 

ช่วงท้ายเรื่อง รัชนีตัดสินใจออกจากบ้านแบบฟ้าแลบหลังจากที่เห็นสาย สีมา โดนพ่อแม่ของเธอดูถูกดูแคลนในงานเลี้ยง เธอบอกกับสายว่าจะย้ายตามกิ่งเทียน – เพื่อนรักของเธอ – ไปอยู่ในภาคอีสาน ประจวบเหมาะกับที่กิ่งเทียนจะไปเป็นครูที่นั่นพอดี เราจึงอาจอนุมานได้ว่า รัชนีคงจะไปเป็นครูหรือสร้างประโยชน์ให้ผู้คนในชนบทเช่นกัน

รัชนีตั้งใจว่าจะ “ตั้งต้นชีวิตของเธอใหม่จากความไม่มีอะไรเลย” เธอไม่มีกระเป๋าเดินทาง ทรัพย์สินส่วนตัว หรือแม้แต่แหวนวงโปรดติดตัว มีเพียงเสื้อผ้าชุดเดียวที่เธอใส่ แล้วเธอกับสาย สีมา ก็ลาจากกันในช่วง “อรุณเบิกฟ้าสีเหลืองทอง” ของกรุงเทพฯ การที่รัชนีตัดสินใจ (หนี) ออกจากบ้านนั้นจึงเด็ดเดี่ยวและเด็ดขาด ไม่ใช่เพียงรัชนีจะ “กบฏ” ต่อครอบครัวและชนชั้นของตัวเอง แต่เธอยังหันหลังในโลกทุนนิยม วัตถุนิยม และทิ้งหน้าที่การงานของตัวเองในชั่วข้ามคืน

รัชนีและสาย สีมาในช่วงท้ายเรื่องของภาพยนตร์ สาย สีมา นักสู้สามัญชน (2524) [ภาพจาก YouTube: Film Archive Thailand (หอภาพยนตร์)]

อาจกล่าวได้ว่า รัชนีดูจะโลกสวยและสุดโต่งไปเสียหน่อยที่ละทิ้งทุกอย่างอย่างง่ายดายโดยที่ไม่ได้คิดให้รอบคอบ แต่เธอก็เป็นต้นแบบของ “สตรีนิยม” ในยุคที่ค่านิยมเก่า ๆ ยังกัดกินชีวิตผู้หญิงส่วนใหญ่ในประเทศ และยังคงสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อ่านทั้งหญิงชายจนถึงปัจจุบัน ไม่มีประโยคใดที่จะสะท้อนแนวคิดสตรีนิยมได้ดีที่สุดเท่ากับประโยคด้านล่างนี้: 

ผู้หญิงก็ไม่แตกต่างอะไรกับผู้ชาย ย่อมมีความคิดเห็น ความใฝ่ฝัน และอุดมคติของตนเหมือนกัน

ติดตามเนื้อหาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องจากเครือ Thai PBS

อ้างอิง

  • A Silent Majority? Mothers in Parental Involvement, Women’s Studies International Forum, 18(3), p. 337-348
  • Les travailleurs révoltés face au monde capitaliste : Analyse sur La Peste d’Albert Camus et Ghosts de Seni Saowaphong [Mémoire, Université de Strasbourg & Aristoteleion Panepistimion Thessaloniki]
  • ตรีศิลป์ บุญขจร (2547), นวนิยายกับสังคมไทย (๒๔๗๕-๒๕๐๐) 
  • ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ (2558), ปีศาจ กับอาการผีเข้าผีออกของปัญญาชนไทย ใน อ่านใหม่: เมืองกับชนบทในวรรณกรรมไทย
  • เสนีย์ เสาวพงศ์ (2563), ปีศาจ (พิมพ์ครั้งที่ 5: สำนักพิมพ์มติชน)

ติดตามบทความและเรื่องราวทันทุกกระแสที่ Thai PBS NOW

แท็กที่เกี่ยวข้อง

วรรณกรรมสตรีนิยมFeminismปีศาจเสนีย์ เสาวพงศ์
พีรชัย พสุทันท์
ผู้เขียน: พีรชัย พสุทันท์

ศิษย์เก่าอักษร จุฬาฯ และอดีตนักเรียนทุน EU ด้านวรรณกรรมยุโรปในฝรั่งเศสและกรีซ ผู้ชอบพาตัวเองไป (หลง) อยู่ในกระแสพหุวัฒนธรรม และเปิดเพลง ABBA ประโลมชีวิตทุกครั้งที่เขียนงาน I ติดตามผลงานส่วนตัวที่ porrorchor.com

บทความ NOW แนะนำ

ข่าวล่าสุด