“ปีศาจ” นวนิยายของเสนีย์ เสาวพงศ์เป็นที่พูดถึงทุกครั้งที่กระแสการเมืองเข้มข้น แต่นอกเหนือจากสัญญะทางการเมืองแล้ว ผลงานคลาสสิกชิ้นนี้ยังแฝงเรื่อง “สตรีนิยม (feminism)” ไว้อย่างน่าสนใจอีกด้วย
แรกเริ่มเดิมที เสนีย์ เสาวพงศ์ หรือศักดิชัย บำรุงพงศ์ (พ.ศ. 2461-2557) ได้เขียนนวนิยายเรื่องปีศาจออกเป็นตอน ๆ เพื่อตีพิมพ์ลงบนนิตยสารสยามสมัยระหว่างปี พ.ศ 2496-97 ต่อมา สำนักพิมพ์เกวียนทองได้นำเรื่องมารวมเล่มในปี พ.ศ. 2500 นวนิยายเล่มนี้มีคู่พระ-นางสายพลาโทนิก (platonic) ชื่อ “สาย สีมา” ทนายหนุ่มลูกชาวนา และ “รัชนี” นายธนาคารไฟแรงลูกสาวของ “ท่านเจ้าคุณ” เชื่อว่าหลายคนยังคงจำโมโนล็อกดังของนวนิยายเรื่องนี้กันได้ ซึ่งมาจากช่วงไคลแมกซ์ที่สาย สีมา เปิดหน้าท้าชนกับเหล่าเจ้าขุนมูลนายระหว่างงานเลี้ยงในบ้านของรัชนี:
ผมเป็นปีศาจที่กาลเวลาได้สร้างขึ้นมาหลอกหลอนคนที่อยู่ในโลกเก่า ความคิดเก่า ทำให้เกิดความละเมอหวาดกลัว และไม่มีอะไรที่จะเป็นเครื่องปลอบใจท่านเหล่านี้ได้ เท่ากับไม่มีอะไรหยุดยั้งความรุดหน้าของกาลเวลาที่จะสร้างปีศาจเหล่านี้ให้มากขึ้นทุกที
แต่จุดน่าสนใจของปีศาจไม่ได้มีเพียงแค่โมโนล็อกดังกล่าวเท่านั้น ตลอดทั้งเรื่อง สาย สีมา และรัชนี ต้องต่อสู้กับค่านิยมเก่า ๆ ในยุคที่ทุนนิยมกำลังรุกเข้ามาทั้งในเขตเมืองและชนบท สาย สีมาต้องเผชิญกับ “ทางสองแพร่ง” ว่าจะช่วยว่าความให้ชาวนาในบ้านเกิดที่ประสบปัญหาหนี้สิน หรือตอบแทน “มหาจวน” อดีตพระที่กลายเป็นนายทุนปล่อยกู้เงินให้ชาวบ้านกลุ่มเดียวกัน ส่วนรัชนีนั้นก็ทำทุกทางเพื่อให้ตัวเองได้เป็นอิสระจากการครอบงำของท่านเจ้าคุณ ที่หวังจะให้เธอแต่งงาน มีลูก และอยู่บ้าน ไม่ต่างจากหญิงไทยชนชั้นสูงคนอื่น ๆ
ปฏิเสธไม่ได้ว่า สาย สีมา คือตัวละคร “ไอคอน” คนหนึ่งในโลกนวนิยายไทยหลังสงคราม และโมโนล็อกของสายก็ถูกกล่าวถึงทุกครั้งที่สถานการณ์การเมืองไทยร้อนระอุ แต่อีกด้านหนึ่ง ตัวละครหญิงในปีศาจก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะรัชนีที่ถือเป็นตัวแทนผู้หญิงหัวก้าวหน้าในยุคที่คำศัพท์ “สตรีนิยม” ยังไม่ปรากฏในสังคมไทยช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
![ศรอนงค์ นวศิลป์ ในบทรัชนี จากภาพยนตร์เรื่อง สาย สีมา นักสู้สามัญชน (2524) ที่ดัดแปลงจากนวนิยายเรื่อง ปีศาจ [ภาพจาก YouTube: Film Archive Thailand (หอภาพยนตร์)]](https://d3dyak49qszsk5.cloudfront.net/_c02ed62923.jpg)
“แม่และเมีย” ที่ยังถูก “ปิตาธิปไตย” กดทับในยุคก่อนสตรีนิยม
ก่อนที่จะถอดรหัสสตรีนิยมในปีศาจผ่านตัวละครรัชนี เราต้องดูอคติที่สังคม (ไทย) มีต่อผู้หญิงเสียก่อน ไม่ว่าจะยากดีมีจนอย่างไร เมื่อโตเป็นสาว ผู้หญิงต้อง (โดนบังคับ) แต่งงาน เป็นแม่ อยู่ติดบ้าน ส่วนการหาเงินก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ชายไป จริงอยู่ที่ว่า คนเป็นแม่มีบทบาทสำคัญในการจัดการทรัพยากรต่าง ๆ ในครอบครัว รวมถึงดูแลพัฒนาการด้านอารมณ์และการเรียนรู้ของลูกหลาน แต่แนวคิดที่ว่า “ความเป็นแม่” เป็นทักษะที่ผู้หญิงมีติดตัวโดยธรรมชาตินั้น ทำให้ผู้ชาย – ที่อ้างตนว่าเป็น “ช้างเท้าหน้า” – ละเลยความสำคัญของ “ช้างเท้าหลัง” และนำมาสู่อำนาจความเป็นพ่อแม่ที่ไม่เท่าเทียมกันในครัวเรือน
ในปีศาจ ตัวละครหญิง 2 ตัวที่ยังติดหล่มอยู่ในภาพจำความเป็น “แม่และเมีย” แบบเดิม ๆ คือ “คุณหญิงวาด” แม่ของรัชนี และ “ดรุณี” พี่สาวของรัชนี ทั้งสองมองเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ของสังคม รวมถึงสนับสนุนให้รัชนีหยัดยืนด้วยตัวเอง แต่พวกเธอเองกลับหมดสิทธิ์ในการเป็นอิสระไปแล้วหลังจากที่แต่งงานและต้องอยู่ในโอวาทของผู้ชาย
คุณหญิงวาดคือแม่และคนกลางที่ไม่มีสิทธิ์มีเสียงใด ๆ ในบ้าน
![ตัวละครท่านเจ้าคุณ (ขวา) และคุณหญิงวาด (ซ้าย) จากภาพยนตร์เรื่อง สาย สีมา นักสู้สามัญชน (2524) [ภาพจาก YouTube: Film Archive Thailand (หอภาพยนตร์)]](https://d3dyak49qszsk5.cloudfront.net/_765616141a.jpg)
ขณะที่ท่านเจ้าคุณไม่เคยนึกอยากให้รัชนีออกไปเรียนหนังสือและหางานทำเพราะกลัวว่าลูกสาวคนเล็กจะ “ไปมั่วสุมสมาคมกับเด็กต่ำ ๆ” แบบสาย สีมา หรือลูกนายมีหลานยายมาชาวบ้านธรรมดาคนอื่น ๆ คุณหญิงวาดห้ามอะไรรัชนีไม่ได้เลยและรู้ว่ารัชนีดื้อมาตั้งแต่เด็ก ๆ กระนั้นก็ดี คุณหญิงคงพอเข้าใจว่า แท้จริงแล้วรัชนีไม่ได้ “ดื้อ” แต่แค่อยากจะมีชีวิตและความคิดความอ่านเป็นของตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณหญิงอาจไม่เคยสัมผัสเลยในชีวิตของตัวเองก็เป็นได้ คุณหญิงจึงทำได้แค่กังวลอยู่ในใจและปล่อยให้ลูกสาวคนเล็กได้เติบโต
แม่ของรัชนีอ่อนแอมากเกินไปที่จะคัดค้านห้ามปรามลูกคนเล็กซึ่งเป็นที่รักและตามใจมาเสียจนเคยตัวแล้วก็ได้ และในชีวิตของแม่เองก็ได้เห็นว่าเวลาและเหตุการณ์มันได้ผันแปรเปลี่ยนแปลงไปมาก และแม่ก็ได้แต่มองดูรัชนีด้วยความวิตกอยู่ในใจ
เมื่อสิ่งต่าง ๆ ไม่เป็นไปดั่งใจท่านเจ้าคุณ คุณหญิงวาดต้องทำหน้าที่เป็น “สนามอารมณ์” ให้ผู้เป็นสามี และคุณหญิงเองก็ดูจะเคยชินและชินชากับการที่ “ผัวเป็นใหญ่” เสียแล้ว ในตอนหนึ่ง ท่านเจ้าคุณรู้สึกรบกวนใจมากที่ต้องเห็นรัชนีสนิทสนมกับสาย สีมา จนตีวัวกระทบคราด ต่อว่าคุณหญิงวาดว่า “เลี้ยงลูกไม่เป็น” การตอบโต้เดียวที่คุณหญิงทำได้ คือการคิดอยู่ในใจ:
ชีวิตที่อยู่ร่วมกันมาเกือบห้าสิบปีไม่ทำให้คุณหญิงประหลาดใจแต่ประการใดในคำกล่าวหาของเจ้าคุณ ทุกครั้งที่มีอะไรผิดพลาดบกพร่องขึ้นมันก็เป็นความผิดของท่านเสมอ เจ้าคุณไม่เคยทำผิด และไม่เคยยอมรับว่าทำอะไรผิด
อย่างไรก็ดี แม้คุณหญิงวาดจะอยู่ใต้อำนาจปิตาธิปไตย แต่เธอเองก็อาจผลิตซ้ำ “ความคิดชายเป็นใหญ่” อันบิดเบี้ยวด้วยเช่นกัน อย่างเช่นตอนที่ท่านเจ้าคุณด่ารัชนีลับหลังว่า “โง่” ที่ไปคบหาสมาคมกับสาย สีมา คุณหญิงได้ปกป้องแก้ต่างให้ลูกสาวตัวเอง ในแง่หนึ่ง การให้เหตุผลของคุณหญิงที่ว่า “ผู้ชายปลิ้นปล้อนตลบตะแลงเป็นที่หนึ่ง" จะดูฟังขึ้นไม่มากก็น้อย (คนสมัยนี้อาจจะพูดว่า ‘men are trash’ แทน) แต่กลับถูกใช้ผิดบริบท สิ่งที่ท่านเจ้าคุณและคุณหญิงวาดรังเกียจในตัวสาย สีมา ไม่ใช่ “ความเป็นผู้ชาย” แต่เป็น “สถานะลูกชาวบ้าน” ของเขาต่างหาก พิจารณาได้จากคำพูดของคุณหญิงในตอนนี้:
‘ยายเล็กไม่ใช่เด็กโง่ดอกค่ะ บางทีแกอาจจะยังเป็นเด็กไปหน่อยที่รู้ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของคน คงถูกเขาพะเน้าพะนอเอาใจนั่นแหละถึงได้พออกพอใจ ก็ผู้ชายอย่างนี้นี่น้า ปลิ้นปล้อนตลบตะแลงเป็นที่หนึ่งเลยแหละ’ คุณหญิงแก้ตัวให้กับลูกสาว
![ดรุณี พี่สาวของรัชนี จากภาพยนตร์เรื่อง สาย สีมา นักสู้สามัญชน [ภาพจาก YouTube: Film Archive Thailand (หอภาพยนตร์)]](https://d3dyak49qszsk5.cloudfront.net/_ed29ca70d6.jpg)
หันมาวิเคราะห์ตัวละครดรุณี พี่สาวของรัชนีกันบ้าง ก่อนที่จะมาเป็นแม่และเมียติดบ้าน ดรุณี “ไม่มีความคิดเห็นของตนเองในเรื่องความรักและการแต่งงาน” จึงยอมตกลงปลงใจที่จะแต่งงานกับ “สมบูรณ์” และถึงผู้ชายคนนี้จะไม่ได้มาจากครอบครัวขุนนางหรือชนชั้นสูง แต่ความร่ำรวยและเส้นสายก็ทำให้เขาเป็นที่ยอมรับจากท่านเจ้าคุณและคุณหญิงวาด แต่ภายหลัง ดรุณีรู้ตัวว่าตัวเองพลาดที่ยอมแต่งงานตั้งแต่ยังสาว ทำให้เธอไม่เคยออกไปใช้ชีวิตอิสระเลย ยิ่งไปกว่านั้น การขาดอิสรภาพทางการเงินและการที่รู้ว่าสามีของตนนอกใจ ก็ทำให้ดรุณีป่วยทั้งกายใจอย่างที่รัชนีและผู้อ่านเห็นได้ชัด:
รัชนีรู้สึกว่าพี่สาวของหล่อนซูบลงไปกว่าเดิม กิริยาอาการทำให้พอจะเดาได้ว่าดรุณีกำลังอยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยจะสบายใจนัก คนภายนอกอาจจะมองไม่เห็น แต่จากความเป็นจริงของชีวิตตนเอง รัชนีพอจะเข้าใจดีว่า ฐานะความมั่งมีไม่ใช่หมายความถึงความสุขเสมอไป
ดรุณียังอาจทุบทำลายความเชื่อที่ว่า ผู้หญิงย่อมมี “สัญชาตญาณความเป็นแม่” ติดตัว เพราะเธอมีพี่เลี้ยงคอยช่วยดูแลลูก ๆ ทั้งนี้ ขณะที่คุณหญิงวาดและดรุณีต่างไม่สามารถออกจากสถานะความเป็นแม่และเมียได้อีกต่อไป ดรุณีดูจะต่างออกไปจากแม่ของเธอตรงที่ว่า เธอตระหนักถึงคุณค่าของการศึกษา การทำงาน และอิสรเสรีในชีวิตของผู้หญิง ทว่าดรุณีก็ทำได้แค่เตือนน้องสาว (และผู้อ่าน) ว่า ไม่ให้มาติดหล่มชีวิตครอบครัวและชีวิตแต่งงานแบบที่เธอต้องทนทุกข์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน:
เกิดมาเป็นลูกผู้หญิง เราเป็นคนอาภัพ อยู่กับพ่อแม่ก็ต้องเชื่อฟังพ่อแม่ญาติพี่น้องผู้ใหญ่ เมื่อแต่งงานก็อยู่ในอำนาจของผัว พี่จึงอยากเตือนน้องเล็กไว้ด้วย น้องเล็กมีความรู้อย่าคิดง้อใคร หางานทำแล้วอยู่ตัวคนเดียวอย่าได้คิดแต่งงานเลยดีกว่า
“รัชนี” ต้นแบบแรก ๆ ของ “นางเอกสตรีนิยม” ในโลกวรรณกรรมไทย
หากใครเคยอ่านปีศาจ รวมถึง “ความรักของวัลยา” นวนิยายเรื่องก่อนหน้าของเสนีย์ เสาวพงศ์ ก็อาจจะพอคุ้น ๆ ว่า ที่จริงแล้วนวนิยายทั้ง 2 เรื่องนี้มีตัวละครผู้หญิงหลายตัวที่หลุดพ้นจากภาพจำและอคติเดิม ๆ เช่น “วัลยา” สาวไทยในปารีสผู้เปี่ยมด้วยมุมมองเชิงบวก หรือ “กิ่งเทียน” และแม่ของเธอที่เลี้ยงดูตัวเองได้หลังจากที่ “ผู้เป็นพ่อ” ถึงแก่กรรม แต่ในที่นี้จะขอกล่าวถึงรัชนีเป็นหลัก เพราะเธอคือตัวละครสตรีนิยมผู้ผ่านการเปลี่ยนแปลงแบบสุดขั้วมากที่สุดคนหนึ่งในโลกวรรณกรรมไทย
![รัชนีและกิ่งเทียน (ขวา) จากภาพยนตร์ สาย สีมา นักสู้สามัญชน (2524) [ภาพจาก YouTube: Film Archive Thailand (หอภาพยนตร์)]](https://d3dyak49qszsk5.cloudfront.net/_8756ff8654.jpg)
แม้ทั้งท่านเจ้าคุณและคุณหญิงวาดจะไม่เต็มใจให้รัชนีออกไปเรียนหนังสือและหางานทำนอกบ้าน แต่รัชนีก็มุ่งมั่นมากพอที่จะได้เห็นโลกภายนอก ที่สำคัญที่สุด การที่รัชนี “ดื้อ” ไม่ฟังพ่อแม่และไม่ยอมแต่งงานมีครอบครัวเหมือนพี่สาว ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะเป็นเด็กอกตัญญู สุดท้ายแล้ว เมื่อถึงเวลา คนทุกคน – ไม่ว่าจะหญิง ชาย หรือเพศใด ๆ – ก็ต้องออกไปใช้ชีวิตของตัวเอง อีกทั้งรัชนีก็โชคดีมากพอที่ได้เห็นว่า คนอาบน้ำร้อนมาก่อนก็ไม่ได้คิดถูกเสมอไปต่อให้พวกเขาจะหวังดีก็ตาม
ฉันจะต้องรักษาความเป็นตัวของตัวเองและความเป็นอิสระอันนี้ไว้ รัชนีตั้งใจมั่น ฉันเคารพต่อคุณพ่อและคุณแม่เสมอ แต่ชีวิตของพี่สาวเป็นบทเรียนสอนให้เห็นเป็นตัวอย่างว่าการตัดสินใจด้วยความตั้งใจดีของผู้ใหญ่นั้นไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเสมอไป
การมีงานทำในธนาคารบูรพาก็ทำให้รัชนีปลดล็อกตัวเองได้อีกขั้น เธอเริ่มมีอิสรภาพทางการเงินในโลกใบใหม่ – โลกที่เต็มไปด้วยความเคลื่อนไหวและขัดแย้งโดยตรงกับความเคยชินของชนชั้นนำ จากการวิเคราะห์ของชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ในบทความ “ปีศาจ กับอาการผีเข้าผีออกของปัญญาชนไทย” เจ้าขุนมูลนายจากโลกเก่าไม่จำเป็นต้องทำงาน อยู่เฉย ๆ ได้โดยไม่เป็นเดือดเป็นร้อน แถมยังมองว่าการทำงานนั้นคือกิจกรรมของชนชั้นล่าง แต่รัชนีกลับแหกขนบเดิม ๆ ออกมาได้ ในนัยหนึ่ง “โลกใบใหม่” จึงเปลี่ยนลูกท่านหลานเธออย่างรัชนีให้เป็น “เทคโนแครตชนชั้นกลาง” ได้
![รัชนีและสาย สีมา (ขวา - รับบทโดยโปรยชัย ชโลมเวียง) จากภาพยนตร์ สาย สีมา นักสู้สามัญชน (2524) [ภาพจาก YouTube: Film Archive Thailand (หอภาพยนตร์)]](https://d3dyak49qszsk5.cloudfront.net/_a7a4fcfc6f.jpg)
โลกใบใหม่ที่รัชนีอยู่ไม่ได้ปลูกฝังสตรีนิยมและความก้าวหน้าในชีวิตผู้หญิงเท่านั้น แต่นำเข้าองคาพยพ “ความเป็นสมัยใหม่ (modernity)” เข้ามาด้วย เช่น ความเป็นเมือง (urbanism) สินค้าต่างประเทศ การติดต่อค้าขายกับต่างชาติ ความเป็นสมัยใหม่นี้ก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้หญิง จากที่เคยนุ่งผ้าถุงก็หันมาใส่กระโปรง หรือจากที่อยู่แต่กับบ้านก็ออกไปใช้ชีวิตข้างนอก จนกล่าวได้ว่า ปีศาจคือนวนิยายเรื่องแรก ๆ ที่สะท้อนภาพความเป็นสมัยใหม่และความเปลี่ยนแปลงอันหลีกเลี่ยงไม่ได้
ขณะเดียวกัน ผลิตภัณฑ์หนึ่งที่ความเป็นสมัยใหม่แถมมาด้วยคือ “ทุนนิยม (capitalism)” ลำพังแค่การที่รัชนีได้ทำงานในธนาคารก็บ่งบอกได้แล้วว่า เทคโนแครตหญิงคนนี้ได้ยื่นเท้าข้างหนึ่งไปอยู่ข้างนายทุน (ธนาคาร) แล้ว และบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาของธนาคารบูรพานั้นก็เย้ายวนชวนให้รัชนีเคลิ้มไปกับระบบทุน (นิยม) ตั้งแต่วันแรก:
ชั่วโมงแรกของการทำงานเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางเสียงเอะอะของธุรกิจ เสียงลูกค้าที่เข้ามาติดต่อ เสียงโทรศัพท์ ใจของรัชนียังเต้นแรงอยู่ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นของใหม่สำหรับหล่อน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่องราวดำเนินไป รัชนีก็เริ่มจะทนไม่ได้กับ “โลกใบเก่า” ที่เต็มไปด้วยการบังคับจากครอบครัวและความดูถูกกดขี่จากคนชนชั้นสูง เธอจึงเอ่ยปากในช่วงหนึ่งของนวนิยายว่า “ฉันอาจจะต้องทรยศและกบฏต่อครอบครัวสักวันหนึ่งก็ได้...” และวันนั้นก็มาถึงจนได้
ช่วงท้ายเรื่อง รัชนีตัดสินใจออกจากบ้านแบบฟ้าแลบหลังจากที่เห็นสาย สีมา โดนพ่อแม่ของเธอดูถูกดูแคลนในงานเลี้ยง เธอบอกกับสายว่าจะย้ายตามกิ่งเทียน – เพื่อนรักของเธอ – ไปอยู่ในภาคอีสาน ประจวบเหมาะกับที่กิ่งเทียนจะไปเป็นครูที่นั่นพอดี เราจึงอาจอนุมานได้ว่า รัชนีคงจะไปเป็นครูหรือสร้างประโยชน์ให้ผู้คนในชนบทเช่นกัน
รัชนีตั้งใจว่าจะ “ตั้งต้นชีวิตของเธอใหม่จากความไม่มีอะไรเลย” เธอไม่มีกระเป๋าเดินทาง ทรัพย์สินส่วนตัว หรือแม้แต่แหวนวงโปรดติดตัว มีเพียงเสื้อผ้าชุดเดียวที่เธอใส่ แล้วเธอกับสาย สีมา ก็ลาจากกันในช่วง “อรุณเบิกฟ้าสีเหลืองทอง” ของกรุงเทพฯ การที่รัชนีตัดสินใจ (หนี) ออกจากบ้านนั้นจึงเด็ดเดี่ยวและเด็ดขาด ไม่ใช่เพียงรัชนีจะ “กบฏ” ต่อครอบครัวและชนชั้นของตัวเอง แต่เธอยังหันหลังในโลกทุนนิยม วัตถุนิยม และทิ้งหน้าที่การงานของตัวเองในชั่วข้ามคืน
![รัชนีและสาย สีมาในช่วงท้ายเรื่องของภาพยนตร์ สาย สีมา นักสู้สามัญชน (2524) [ภาพจาก YouTube: Film Archive Thailand (หอภาพยนตร์)]](https://d3dyak49qszsk5.cloudfront.net/_0be0f64da1.jpg)
อาจกล่าวได้ว่า รัชนีดูจะโลกสวยและสุดโต่งไปเสียหน่อยที่ละทิ้งทุกอย่างอย่างง่ายดายโดยที่ไม่ได้คิดให้รอบคอบ แต่เธอก็เป็นต้นแบบของ “สตรีนิยม” ในยุคที่ค่านิยมเก่า ๆ ยังกัดกินชีวิตผู้หญิงส่วนใหญ่ในประเทศ และยังคงสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อ่านทั้งหญิงชายจนถึงปัจจุบัน ไม่มีประโยคใดที่จะสะท้อนแนวคิดสตรีนิยมได้ดีที่สุดเท่ากับประโยคด้านล่างนี้:
ผู้หญิงก็ไม่แตกต่างอะไรกับผู้ชาย ย่อมมีความคิดเห็น ความใฝ่ฝัน และอุดมคติของตนเหมือนกัน
ติดตามเนื้อหาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องจากเครือ Thai PBS
- คาบาเรต์ โมกะ และความรักของวัลยา I Decode
- เสนีย์ เสาวพงศ์ นักเดินทางผู้ฝากรอยหมึกไว้บนผืนแผ่นดิน I สยามศิลปิน
- ความรัก-กุหลาบ-คำสาป "มัทนะพาธา" จาก 'ปิตาธิปไตย' สู่คลื่นลูกแรกแห่ง ‘สตรีนิยม' I Thai PBS NOW
- “ความรัก” ที่ไม่ได้หอมหวานเสมอไปใน “ปรัชญาฝรั่งเศส” I Thai PBS NOW
อ้างอิง
- A Silent Majority? Mothers in Parental Involvement, Women’s Studies International Forum, 18(3), p. 337-348
- Les travailleurs révoltés face au monde capitaliste : Analyse sur La Peste d’Albert Camus et Ghosts de Seni Saowaphong [Mémoire, Université de Strasbourg & Aristoteleion Panepistimion Thessaloniki]
- ตรีศิลป์ บุญขจร (2547), นวนิยายกับสังคมไทย (๒๔๗๕-๒๕๐๐)
- ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ (2558), ปีศาจ กับอาการผีเข้าผีออกของปัญญาชนไทย ใน อ่านใหม่: เมืองกับชนบทในวรรณกรรมไทย
- เสนีย์ เสาวพงศ์ (2563), ปีศาจ (พิมพ์ครั้งที่ 5: สำนักพิมพ์มติชน)
ติดตามบทความและเรื่องราวทันทุกกระแสที่ Thai PBS NOW