ชาวอุยกูร์ (Uyghurs/Uighurs) เป็นชนกลุ่มน้อย หรือกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ หรือ XUAR (Xinjiang Uyghur Autonomous Region) ทางตะตกเฉียงเหนือของจีน ครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ที่สุดในจีนกว่า 1.6 ล้านตารางกิโลเมตร อีกทั้งเป็นแหล่งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และฝ้ายแห่งสำคัญของประเทศ
ถึงแม้ภูมิประเทศส่วนใหญ่ของ XUAR เป็นภูเขาสูง และทะเลทราย แต่มีทัศนียภาพที่สวยงาม อีกทั้งเป็นภูมิภาคที่อยู่ใกล้กลุ่มประเทศในเอเชียกลาง และยุโรปตะวันออก ตามแนว “เส้นทางสายไหม” (Silk Road) โบราณของจีน ดังนั้น จีนจึงให้ความสำคัญว่า XUAR ซึ่งมีเนื้อที่ถึงราว 1 ใน 6 ของประเทศ เป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์การค้ากับต่างประเทศ


ชาวอุยกูร์พูดภาษา “อุยกูร์” ซึ่งคล้ายกับภาษาตุรกี และมีวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกับกลุ่มประเทศอื่น ๆ ในเอเชียกลาง เช่น คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน ทาจิกิสถาน และอุซเบกิสถาน อีกทั้งส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามมาตั้งแต่ราวศตวรรษที่ 9 แต่ก่อนหน้านั้น ชาวอุยกูร์นับถือศาสนาโซโรอัสเตอร์ (Zoroastrianism) หรือ ศาสนาบูชาไฟ และศาสนาพุทธ
หวัง อี้ รมว.การต่างประเทศ ของจีนแถลงเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า ปัจจุบันมีชาวอุยกูร์อยู่ราว 12 ล้านคน จากจำนวนประชากรทั้งสิ้นกว่า 1,400 ล้านคนของจีน อีกทั้งเป็นสัดส่วนถึงเกือบร้อยละ 50 ของจำนวนประชากรทั้งสิ้นใน XUAR และว่าจำนวนชาวอุยกูร์ในปัจจุบันเพิ่มขึ้นจากราว 5.5 ล้านคนเมื่อประมาณ 40 ปีก่อน

สำนักข่าวอัลจาซีรารายงานว่า ชาวอุยกูร์พยายามแยกภูมิภาคของตนเป็นเอกราชหลายครั้ง เนื่องจากมีอาณาเขตกว้างใหญ่ใกล้เคียงกับประเทศอิหร่าน เช่น เมื่อปี 2476 ชาวอุยกูร์ส่วนใหญ่ได้ประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐเตอร์กิสถานตะวันออก (East Turkestan) แต่ไม่นานก็ถูกกองทัพของอดีตรัฐบาลจีนคณะชาติภายใต้การนำของนายพลเจียง ไคเชกเข้ายึดครอง
ชาวอุยกูร์พยายามจัดตั้งสาธารณรัฐเตอร์กิสถานตะวันออกเป็นครั้งที่ 2 เมื่อปี 2487 โดยครั้งนี้ได้รับการหนุนหลังจากอดีตสหภาพโซเวียต อย่างไรก็ตาม “โจเซฟ สตาลิน” (Joseph Stalin) ผู้นำของอดีตสหภาพโซเวียตในขณะนั้น กลับไฟเขียวให้รัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์ของจีนภายใต้การนำของ “เหมา เจ๋อตง” เข้าผนวกภูมิภาคชาวอุยกูร์เป็นส่วนหนึ่งของจีน

ดังนั้น ภูมิภาคอุยกูร์จึงถือเป็นส่วนหนึ่งของจีนแผ่นดินใหญ่ หรือสาธารณรัฐประชาชนจีน (People's Republic of China) ตั้งแต่ปี 2492 และจีนประกาศจัดตั้ง XUAR อย่างเป็นทางการเมื่อปี 2498 โดยจีนอ้างกรรมสิทธิ์ครอบครองภูมิภาคของชาวอุยกูร์ตั้งแต่ช่วง 206 ปีก่อนคริสตกาล (206BC) และประกาศให้เป็น “ดินแดนที่แบ่งแยกไม่ได้” ของประเทศ
เหตุใดจีนถึงถูกกล่าวหาละเมิดสิทธิมนุษยชนในซินเจียง?
ชาวอุยกูร์ไม่ยอมรับการอ้างกรรมสิทธิ์ของจีน โดยชี้ว่า พรมแดนของภูมิภาคอุยกูร์ถูกกำหนดใหม่หลายต่อหลายครั้งในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมาโดยกลุ่มผู้ปกครองหลายกลุ่ม ไม่เพียงจีน เช่น กลุ่มผู้ปกครองเตอร์กิก คาราคานิดโบราณ (Turkic Karakhanid) และกลุ่มผู้ปกครองมองโกล
ชาวอุยกูร์เป็นจำนวนมากจึงได้อพยพไปอยู่ต่างประเทศ โดยกลุ่มชาวอุยกูร์ในต่างแดนชี้ว่า ศาสนา ภาษา และวัฒนธรรมของชาวอุยกูร์ใน XUAR ก็แตกต่างจากพื้นที่อื่น ๆ ของจีนอย่างชัดเจน นอกจากนี้ กลุ่มผู้อพยพชาวอุยกูร์ยังต้องหลบหนีการปราบปรามทางการเมือง และทางศาสนาของรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนต่อกลุ่มต่อต้านด้วย

รายงานของอัลจาซีราระบุว่า กลุ่มชาวอุยกูร์ได้เริ่มอพยพออกนอกประเทศตั้งแต่ภูมิภาคของตนถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของจีน อย่างไรก็ตาม เกิดการอพยพออกนอกประเทศครั้งใหญ่ของชาวอุยกูร์ในช่วงทศวรรษหลังปี 2493s และทศวรรษหลังปี 2503s (1950s and 60s) เนื่องจากเกิดภาวะทุพภิกขภัย หรือ “ข้าวยากหมากแพง” ครั้งใหญ่
อีกทั้งการนองเลือดในประเทศจากการปราบปรามผู้คนครั้งใหญ่ของรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนในยุค “ปฏิวัติวัฒนธรรม” (Cultural Revolution) ช่วงปี 2509-2519 เพื่อธำรงระบอบคอมมิวนิสต์ และกวาดล้างกลุ่มทุนนิยมที่ยังหลงเหลืออยู่ในประเทศ ตลอดจนกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิม

ด้วยเหตุนี้ ชาวอุยกูร์ และกลุ่มชาติพันธุ์มุสลิมอื่น ๆ รวมหลายแสนคนเป็นอย่างน้อยต้องลี้ภัยไปอยู่กลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน อื่น ๆ ในเอเชียกลาง และบางส่วนลี้ภัยไปอยู่ในตุรกี และอัฟกานิสถาน หลังจากนั้น ก็เกิดสถานการณ์ตึงเครียด และเหตุการณ์รุนแรงที่เชื่อมโยงกับชาวอุยกูร์อีกเป็นระยะ ๆ
รายงานระบุว่า หลังจากเหตุการณ์ 9/11 ซึ่งอาคาร World Trade Center และเป้าหมายอื่น ๆ ในนครนิวยอร์กของสหรัฐฯ ถูกกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์ (al-Qaeda) โจมตีเมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2544 รัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็เริ่มโหมปรามปรามกลุ่มชาวอุยกูร์ในประเทศ โดยอ้างว่า เป็นการปราบปรามกลุ่มหัวรุนแรงสุดโต่ง และกลุ่มแบ่งแยกดินแดน

รัฐบาลจีนชี้ว่า อิรัก อัฟกานิสถาน และปากีสถาน ซึ่งกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์มีฐานกำลังอยู่ มีพรมแดนบางส่วนติดกับ XUAR นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังสนับสนุนให้ชาวจีนฮั่นหลายล้านคนเข้าไปตั้งรกรากใน XUAR ทำให้ปัจจุบันมีประชากรชาวจีนฮั่นใน XUAR จำนวนมากเป็นอันดับ 2 ใน XUAR และเกิดความขัดแย้งรุนแรงกับชาวอุยกูร์ดั้งเดิม อาทิ เกิดการปะทะกันในเมืองอุรุมชี (Urumqi) เมืองเอกของ XUAR เมื่อปี 2552 และ 2554 ทำให้ชาวอุยกูร์เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และบาดเจ็บอย่างน้อย 40 คน ทั้งนี้ สถานการณ์ตึงเครียด และความรุนแรงใน XUAR ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้มีชาวอุยกูร์อีกหลายพันคนอพยพไปอยู่ในยุโรป และสหรัฐฯ

ตั้งแต่ปี 2560 การปราบปรามชาวอุยกูร์ใน XUAR ของทางการจีนได้ทวีความเข้มข้นขึ้นอย่างเป็นประวัติการณ์ มีชาวอุยกูร์ถูกจับกุม และถูกควบคุมตัวเข้าค่ายกักกัน “ปรับทัศนคติ” เป็นจำนวนมากตามนโยบายหลอมรวมกลุ่มชาติพันธุ์ต่างศาสนา วัฒนธรรม และความเห็นต่างให้เป็นจีนหนึ่งเดียวของรัฐบาล และพรรคคอมมิวนิสต์จีน
กลุ่มนักเคลื่อนไหวชาวอุยกูร์ และกลุ่มปัญญาชน ซึ่งถูกกล่าวหาว่า เป็นกลุ่มชาวมุสลิมแบ่งแยกดินแดนถูกจองจำ ทารุณกรรม หรือถูกประหารชีวิต ในขณะที่กลุ่มชาวอุยกูร์ที่อพยพกลับประเทศจะถูกตั้งข้อหาว่า เป็นกลุ่มผู้ต้องสงสัยปลุกปั่นแนวคิดหัวรุนแรงสุดโต่งต่อต้านรัฐบาล และจะถูกสอบสวน

ทางการจีนยังได้บังคับใช้มาตรการคุมกำเนิดต่อชาวอุยกูร์ และกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ เพื่อลดจำนวนประชากรลง 2.6-4.5 ล้านคนภายใน 20 ปีด้วย อีกทั้งยังห้ามกลุ่มชาติพันธุ์มุสลิมถือศีลอดในเดือนรอมฎอน ห้ามกลุ่มสตรีมุสลิมคลุมหน้า และห้ามกลุ่มชายมุสลิมไว้เครา ตลอดจนบังคับให้กลุ่มชาติพันธุ์มุสลิมบริโภคเนื้อสุกร ซึ่งขัดกับหลักของศาสนาอิสลาม
นอกจากนี้ สุเหร่าหลายพันแห่งถูกทำลาย หรือทำให้เสียหาย อีกทั้งมีการสแกนใบหน้า ตลอดจนใช้เทคโนโลยีเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนตัว เครือข่ายการติดติดของชาวอุยกูร์ และกลุ่มชาติพันธุ์ชาวมุสลิมอื่น ๆ อีกทั้งติดตั้งกล้องวงจรปิดอย่างดาษดื่นใน XUAR เพื่อจับตาความเคลื่อนไหว และควบคุมพฤติกรรมของผู้คน รวมถึงกลุ่มสื่อมวลชน

อย่างไรก็ตาม ทางการจีนปฏิเสธรายงานของกลุ่มปกป้องสิทธิมนุษยชนต่าง ๆ รวมถึงองค์การนิรโทษกรรมสากล หรือ AI (Amnesty International) ว่า XUAR กลายสภาพเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน อีกทั้งปฏิเสธข้อกล่าวหาของกลุ่มชาติตะวันตกที่ว่า จีนจงใจฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ใน XUAR โดยยืนกรานว่า เป็นการปราบปรามกลุ่มหัวรุนแรงสุดโต่งอย่างสอดคล้องกับกติกาสากล
ส่วนค่าย “ปรับทัศนคติ” ก็เป็นการฝึกกลุ่มชาติพันธุ์ใน XUAR ให้มีทักษะเพื่อมีงานทำ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาความยากจน และยกระดับคุณภาพชีวิตของพวกเขา และเกื้อหนุนเศรษฐกิจจีน ทางการจีนยังได้รายงานว่า ตั้งแต่ปี 2561 กลุ่มชาติพันธุ์ใน XUAR มีงานทำแล้วราว 151,000 คน และหลายคนมีรายได้ราว 45,000 หยวน หรือ 7,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี

อย่างไรก็ดี ภาวการณ์ต่าง ๆ ใน XUAR ซึ่งเป็นแหล่งน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติสำคัญ อีกทั้งเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์การค้าหลักกับต่างชาติของจีน ก็อาจตั้งข้อสังเกตได้ว่า เป็นแนวนโยบาย “หลอมรวมกลุ่มชาติพันธุ์ให้เป็นจีนหนึ่งเดียว” (Sinification) โดยเน้นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ “สุดโต่ง” เกินไปหรือไม่ของรัฐบาล และพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ติดตามชมรายการทันโลก กับ Thai PBS วันจันทร์ - พฤหัสบดี เวลา 21.00 – 21.30 น. ทางช่อง Thai PBS หมายเลข 3 หรือรับชมออนไลน์ผ่านทาง www.thaipbs.or.th/Live และชมย้อนหลังได้ที่ https://www.thaipbs.or.th/program/Tanloke