การกลับมาอีกครั้งของเครื่องบินทะเลที่ปรับปรุงโครงสร้างใหม่ ปล่อยคาร์บอนต่ำ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น ประหยัดน้ำมันถึง 85%
เครื่องบินทะเลพลังงานไฮบริดอย่าง Polaris เป็นนวัตกรรมที่ผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์สันดาปภายในและมอเตอร์ไฟฟ้า ช่วยลดการปล่อยมลพิษและประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้มากถึง 85% เมื่อเทียบกับเครื่องบินแบบดั้งเดิม
นอกจากนี้ ยังมีการออกแบบให้บินขึ้นและลงจอดบนน้ำได้ ทำให้เหมาะสำหรับใช้งานในพื้นที่ห่างไกลหรือภูมิประเทศที่ท้าทาย นับเป็นก้าวสำคัญของเทคโนโลยีการบินที่มุ่งสู่ความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ในงานการประชุม Future Opportunities for Seaplanes and Amphibious Aviation 2025 (FOSAA25) ที่ไมอามี รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้มีการเปิดตัวเครื่องบินทะเลพลังงานไฮบริด Polaris จำนวน 20 ลำ มูลค่ากว่า 100 ล้านดอลลาร์ โดยนำแนวคิดเครื่องบินทะเลมาปัดฝุ่นใหม่ให้เป็นเครื่องบินทะเลไฮบริดไฟฟ้าที่ทันสมัย สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 9-12 คน พร้อมสัมภาระ เครื่องบินรูปแบบนี้จะช่วยลดต้นทุนการผลิตและการใช้เชื้อเพลิงลงได้อย่างมาก เกิดการปล่อยมลพิษต่ำหรือแทบเป็นศูนย์ อีกทั้งยังช่วยให้ผู้คนเข้าถึงสถานที่ต่าง ๆ ที่ห่างไกล หรือเดินทางลำบากได้ง่ายขึ้น
เครื่องบินทะเลไฮบริดไฟฟ้าสามารถลดการใช้เชื้อเพลิงลงได้ถึง 85% ในระยะทางปกติ อีกทั้งยังลดการบำรุงรักษาในเรื่องการกัดกร่อน และลดเสียงขณะบินได้ประมาณ 20 เดซิเบล ขณะเดียวกันยังมอบประสิทธิภาพในการบินระยะไกลได้โดยไม่ต้องพึ่งการชาร์จไฟนอกสถานี โดยมีการติดตั้งระบบส่งกำลังแบบไฟฟ้าแบตเตอรี่หรือไฟฟ้าไฮโดรเจนเต็มรูปแบบในโครงสร้างของเครื่องบิน เดินทางด้วยความเร็ว 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่ระดับความสูง 2,100 เมตร โดยมีพิสัยการบินอยู่ที่ 1,915 กิโลเมตร
ในปัจจุบันมีการทำการบินโมเดลขนาด 1/6 ของเครื่องบินทะเลไฮบริดแล้ว โดยต้นแบบขนาดเท่าเครื่องบินจริงมีกำหนดบินในปี 2027 และคาดว่าจะพร้อมให้บริการผู้โดยสารได้ในปี 2030 โดยในอนาคตจะมีการออกแบบให้ใช้ไฮโดรเจนหรือระบบแบตเตอรี่เต็มรูปแบบที่เหมาะสำหรับการบินระยะสั้น
เรียบเรียงโดย ขนิษฐา จันทร์ทร
ที่มาข้อมูล: newatlas, tidalflight, militaryaerospace, ainonline
ที่มาภาพ: tidalflight
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech