การเปิดปฏิบัติการของกลุ่มฮายาต ตาห์รีร์ อัล-ชาม (Hayʼat Tahrir al-Sham : HTS) นำโดยอาหมัด อัล-ชารา หรือ อาบู โมฮัมเหม็ด อัล-จูลานี ในการเคลื่อนกำลังพลบุกกรุงดามัสกัส ศูนย์กลางทางอำนาจของซีเรียจนนำมาสู่การล่มสลายของตระกูลอัล-อัสซาดภายใต้การนำของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ภายในเวลาอันรวดเร็ว
ถือเป็นทั้งจุดจบของตระกูลการเมืองที่กุมบังเหียนประเทศด้วยกำปั้นเหล็ก มานาน 5 ทศวรรษและเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญต่อดุลอำนาจในภูมิภาคตะวันออกกลาง
ท่ามกลางคำถามถึงบทบาทของรัฐบาลชุดใหม่ในการสร้างสันติภาพและเสถียรภาพในซีเรียหลังจากตกอยู่ในวังวนความขัดแย้งของสงครามกลางเมืองมานานถึง 13 ปี ทำให้มีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 500,000 คนและผู้ลี้ภัยสงครามอีกกว่า 12 ล้านคน
ปฐมบทสงครามกลางเมือง
ปฐมบทของสงครามกลางเมืองในซีเรีย มีสาเหตุมาจากความไม่พอใจต่อการปกครองของระบอบอัล-อัสซาด และอิทธิพลจากการก่อกำเริบของคลื่นปฏิวัติอาหรับสปริง (Arab Spring) ซึ่งขยายตัวไปทั่วโลกอาหรับ
จุดชนวนการประท้วงของขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย หลังจากซีเรียอยู่ภายใต้การปกครองแบบกำปั้นเหล็กของตระกูลอัล-อัสซาดเพียงตระกูลเดียวมาเป็นเวลานาน 53 ปี นับตั้งแต่ฮาเฟซ อัล-อัสซาด บิดาของบาชาร์ อัล-อัสซาด ก่อรัฐประหารยึดอำนาจจากนูเรดดิน อัล-อาทาสซี และก้าวขึ้นมานั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีในปี 1971
การประท้วงอย่างสันติยกระดับสู่การก่อจลาจล นำไปสู่สงครามกลางเมืองระหว่างรัฐบาลซีเรีย ใต้เงาของระบอบอัล-อัสซาดกับกลุ่มต่อต้านหลายกลุ่มที่มีอุดมการณ์ความเชื่อและผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็น Hayʼat Tahrir al-Sham (HTS) Free Syrian Army (FSA) Syrian National Army (SNA) และ Syrian Democratic Forces (SDF) ทำให้ความขัดแย้งในครั้งนี้ไม่ใช่การห้ำหั่นกันระหว่างรัฐบาลซีเรียกับกลุ่มต่อต้านอีกต่อไป เนื่องจากชาติมหาอำนาจเริ่มกระโจนเข้ามามีส่วนร่วม จนซีเรียตกอยู่ในวังวนของสงครามกลางเมืองอย่างเต็มรูปแบบ
ซีเรียกระดานหมากรุกมหาอำนาจ
รัสเซีย อิหร่านและกลุ่มเฮซบอลเลาะห์สนับสนุนรัฐบาลซีเรีย หลังจากสูญเสียดินแดนให้กลุ่มต่อต้านอย่างหนักในปี 2013 ขณะที่สหรัฐฯ ตุรกีและประเทศกลุ่มอ่าวอาหรับคอยสนับสนุนปฏิบัติการทางทหารของกลุ่มต่อต้านแตกต่างกันออกไป ทำให้กลุ่มต่อต้านไม่มีความสมัครสมานกลมเกลียวกันและแต่ละกลุ่มต่างมีเขตอิทธิพลในอาณัติของตัวเอง
1. Hayʼat Tahrir al-Sham (HTS)
กลุ่ม HTS ซึ่งมีฐานที่มั่นอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของซีเรีย ขึ้นแท่นกลุ่มทรงอิทธิพลมากที่สุดในการโค่นล้มระบอบอัล-อัสซาด
อาบู โมฮัมเหม็ด อัล-จูลานี ได้ก่อตั้งกลุ่มอัล-นุสรา ฟรอนต์ (Al-Nusra Front) เมื่อปี 2011 เพื่อต่อสู้กับรัฐบาลภายใต้การนำของตระกูลอัล-อัสซาดและยึดมั่นในอุดมการณ์เชื่อมโยงกับกลุ่มอัลกออิดะห์และกลุ่มรัฐอิสลามโดยตรง จนกระทั่งถูกขึ้นบัญชีเป็นกลุ่มก่อการร้ายของสหรัฐฯ ตุรกี สหภาพยุโรปและสหประชาชาติมาจนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม อัล-จูลานี สะบั้นความสัมพันธ์กับกลุ่มอัลกออิดะห์ในอีก 5 ปีถัดมาและก่อตั้งกลุ่ม Hayʼat Tahrir al-Sham (HTS) ขึ้นมาด้วยการหลอมรวมกลุ่มต่อต้านหลายกลุ่มและชูแนวทางสายกลาง
2. People’s Protection Units (YPG) - Syrian Democratic Forces (SDF)
กองกำลัง People’s Protection Units (YPG) ควบคุมพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของซีเรียมาตั้งแต่ปี 2012 และในมุมมองของตุรกี กองกำลังนี้มีความเชื่อมโยงกับพรรคแรงงานเคอร์ดิสถาน (PKK) ที่ก่อความไม่สงบหลายระลอกบนแผ่นดินตุรกีตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้กองกำลังดังกล่าวยังถูกขึ้นบัญชีกลุ่มก่อการร้ายของสหรัฐฯ ด้วย อย่างไรก็ตาม ปี 2014 กลุ่มรัฐอิสลามเคลื่อนกำลังพลบุกยึดครองดินแดนซีเรีย ทำให้กองกำลัง YPG จับมือกับกลุ่มอื่น ๆ เข้าขัดขวางด้วยการสนับสนุนจากสหรัฐฯ
กองกำลัง YPG ได้ก่อตั้งกลุ่ม Syrian Democratic Forces (SDF) ของนักรบชาวเคิร์ดและชาวอาหรับในเวลาต่อมาและครอบครองพื้นที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำยูเฟรติสครอบคลุมเมืองรัคคาและแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ที่สุดบางส่วน
3. Syrian National Army (SNA)
ตุรกีส่งกำลังพลไปยังซีเรียตั้งแต่ปี 2016 เพื่อผลักดันกองกำลังชาวเคิร์ดและกลุ่มรัฐอิสลามออกจากแนวพรมแดนก่อกำเนิดเป็นกลุ่ม Syrian National Army (SNA) ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพตุรกีและมีฐานที่มั่นอยู่บริเวณพรมแดนของทั้ง 2 ประเทศ
นอกจากนี้กลุ่ม SNA ยังมีบทบาทในการให้ความช่วยเหลือกลุ่ม HTS กับพันธมิตรในการเคลื่อนพลบุกเมืองหลวงเพื่อโค่นอำนาจตระกูลอัล-อัสซาดเมื่อช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาอีกด้วย
ซีเรียแตกเป็นเสี่ยงเผือกร้อนรัฐบาลใหม่
เพียงไม่กี่วันหลังจากกลุ่ม HTS โค่นระบอบอัล-อัสซาดได้สำเร็จ “รัฐบาลชุดเปลี่ยนผ่าน” ได้ถือกำเนิดขึ้นภายใต้การควบคุมของโมฮัมหมัด อัล-บาเชียร์ นายกรัฐมนตรีรักษาการผู้ให้คำมั่นในการกอบกู้ซีเรียให้เป็นปึกแผ่นขึ้นมาอีกครั้ง
อัล-บาเชียร์ เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีด้านการพัฒนาและกิจการมนุษยธรรมในรัฐบาลกู้ชาติ (Syrian Salvation Government) นำโดยกลุ่ม HTS ระหว่างปี 2022 - 2023 และนายกรัฐมนตรีรัฐบาลกู้ชาติในเดือนมกราคม-ธันวาคม 2024
ขณะที่อัล-จูลานีเดินสายพบคณะผู้แทนทางการทูตต่างชาติท่ามกลางคำถามถึงอนาคตทางการเมืองของดินแดนแห่งนี้ เนื่องจากรัฐบาลชุดเปลี่ยนผ่านจะทำหน้าที่จนถึงเดือนมีนาคมเท่านั้นและกลุ่ม HTS ยังคงไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมใด ๆ
ผู้นำกลุ่ม HTS เปิดเผยกับสำนักข่าว Reuters เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาถึงแผนในการยุบกองกำลังความมั่นคงของระบอบอัล-อัสซาด ปิดเรือนจำและตามล่าตัวผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทรมานหรือสังหารเหยื่อของการจับกุมคุมขังของรัฐบาลเผด็จการ
ด้านแหล่งข่าวใกล้ชิดกับคณะที่ปรึกษากลุ่ม HTS เปิดเผยว่า ผู้แทนของทุกนิกายจะเข้ามีส่วนร่วมในรัฐบาลรักษาการและประเด็นสำคัญที่จะถูกหยิบมาหารือครอบคลุมไปถึงการพิจารณาใช้ระบบประธานาธิบดีหรือระบบรัฐสภาด้วย
สหรัฐฯ ก็กำลังจับตามองความเคลื่อนไหวในซีเรียอย่างใกล้ชิดเช่นกัน สะท้อนให้เห็นจากท่าทีของแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศในการเสนอให้ซีเรียจัดตั้งรัฐบาลบนความน่าเชื่อถือและการหลอมรวมคนทุกกลุ่มสอดคล้องกับข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ฉบับที่ 2254 เมื่อปี 2015 ให้ซีเรียเป็นผู้นำกระบวนการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองด้วยการจัดตั้งรัฐบาลไร้การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายภายใน 6 เดือน กำหนดกรอบเวลาของกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ รวมทั้งจัดการเลือกตั้งอย่างเสรีและยุติธรรมเพื่อเฟ้นหาผู้นำคนใหม่ด้วย
อย่างไรก็ตามกลุ่ม HTS เป็นเพียงกลุ่มเดียวในเวลานี้ที่พบปะกับคณะผู้แทนทางการทูตต่างชาติกำลังสร้างความกังวลถึงความเป็นเอกภาพและการหลอมรวมของกลุ่มต่าง ๆ อย่างจริงจังในอนาคต เนื่องจากหลายกลุ่มยังไม่ได้วางอาวุธหรือถอนกำลัง อาจทำให้ประเทศยังคงอยู่ในวังวนของการเผชิญหน้าทางการทหารอย่างไม่มีวันจบสิ้นได้ และการผูกขาดอำนาจไว้ที่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเพียงกลุ่มเดียว อาจทำให้ประเทศยิ่งแตกเป็นเสี่ยงจนยากจะประสาน
การสร้างเอกภาพท่ามกลางรอยร้าว
ท่ามกลางความยินดีของประชาชนต่อการล่มสลายของระบอบอัล-อัสซาดที่ใช้นโยบายกำปั้นเหล็กในการปกครองประเทศมานานกว่า 5 ทศวรรษ รอยปริแยกภายในประเทศจากความขัดแย้งของกลุ่มต่อต้านไม่ได้จางหายไป
และอนาคตทางการเมืองของซีเรียไม่ได้อาศัยความตั้งใจและความสามารถของกลุ่ม HTS เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เนื่องจากบทบาทของมหาอำนาจภายนอกประเทศล้วนมีส่วนสำคัญในการเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการเมืองซีเรีย ไม่ว่าจะเป็นอิหร่าน รัสเซีย ตุรกี สหรัฐฯ หรือแม้กระทั่งอิสราเอลที่พยายามรักษาผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ของตัวเองหลังจากระบอบอัล-อัสซาดมาถึงจุดสิ้นสุดเมื่อวันที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา
ผศ.ดร.มาโนชญ์ อารีย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองในภูมิภาคตะวันออกกลาง ภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนคริทรวิโรฒ ตั้งข้อสังเกตว่า บทบาทของมหาอำนาจภายนอกอาจทำให้ซีเรียเดินซ้ำรอยลิเบียที่มี 2 รัฐบาล คือ รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (Government of National Unity) กับรัฐบาลเสถียรภาพแห่งชาติ (Government of National Stability) และแต่ละรัฐบาลก็ได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจแตกต่างกันออกไป
นอกจากนี้การจัดสรรอำนาจผ่านบทบาทของมหาอำนาจภายนอก อาจผลักดันให้ซีเรียกลายเป็น “สหพันธรัฐ” ด้วยการแบ่งเขตอิทธิพลของแต่ละกลุ่ม
“ฉากทัศน์เลวร้ายที่สุดของการเมืองซีเรียคือ การเปิดศึกแย่งชิงอำนาจภายในประเทศ อนาคตของซีเรียจึงขึ้นอยู่กับตัวแสดงภายในและตัวแสดงภายนอก”
อัล-อัสซาดล่มสลายเขย่าดุลอำนาจในภูมิภาค
การล่มสลายของระบอบอัล-อัสซาดส่งผลกระทบต่ออิทธิพลของอิหร่านอย่างชัดเจน เนื่องจากซีเรียเคยเป็นเส้นทางผ่านขนส่งอาวุธไปยังกลุ่มเฮซบอลเลาะห์ในเลบานอน ยิ่งไปกว่านั้น การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองในซีเรียยังส่งแรงกระเพื่อมไปถึงอิสราเอลด้วย
ผศ.ดร.มาโนชญ์ ระบุว่า อิสราเอลมีข้อกังวลถึงกลุ่มขั้วอำนาจใหม่ในซีเรีย สะท้อนให้เห็นได้จากการเปิดปฏิบัติการโจมตีทางทหารพื้นที่หลายร้อยจุดทั่วซีเรีย และการประกาศจัดตั้ง “เขตกันชน” บนที่ราบสูงโกลันและพื้นที่ทางตอนใต้ของซีเรียตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ด้วยการให้เหตุผลถึงความพยายามในการขัดขวางไม่ให้อาวุธยุทโธปกรณ์ตกอยู่ในมือของกลุ่มก่อการร้าย
“สงครามตัวแทนในซีเรีย” ไม่มีวันสิ้นสุด
“ใครเข้าไปครอบงำรัฐบาลดามัสกัสได้ก็จะได้เปรียบมาก ถ้าอิสราเอลทำได้ จะช่วยปิดล้อมอิหร่านอีกจังหวะหนึ่ง และป้องกันไม่ให้กองกำลังติดอาวุธต่อต้านอิสราเอลตั้งหลักขึ้นมาใหม่”
ด้าน รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองและความมั่นคง มองว่า ความเคลื่อนไหวของอิสราเอลเป็นความพยายามขยายอิทธิพลครอบงำผู้ปกครองชุดใหม่เพื่อชิงความเป็นเจ้าในการครอบครองซีเรียในวันข้างหน้านำไปสู่สงครามตัวแทนไม่มีที่สิ้นสุดได้
สำหรับอิหร่านน่าจะต้องตั้งหลักใหม่และจับตามองท่าทีของสหรัฐฯ และอิสราเอล ในระยะสั้น ซึ่งในสายตาของ รศ.ดร.ปณิธาน แสดงความกังวลถึงการเร่งเครื่องพัฒนาขีดความสามารถของอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่านนำไปสู่ “การทูตนิวเคลียร์” เพื่อใช้เป็นเครื่องมือต่อรอง หลังจากอิหร่านสูญเสียพันธมิตรในแกนแห่งการต่อต้าน (Axis of Resistance) ในความขัดแย้งระดับภูมิภาคจากสงครามอิสราเอล-ฮามาสและสงครามอิสราเอล-เฮซบอลเลาะห์ ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคมปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม กลุ่มต่อต้านอีกหลายกลุ่มยังคงมีความเชื่อมโยงกับอิหร่าน ทำให้ภาวะสงครามตัวแทนในดินแดนซีเรียไม่น่าจะยุติลงในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน เนื่องจากตุรกี อิสราเอลและสหรัฐฯ คงไม่ยอมสูญเสียผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ของตัวเองให้หมดไปง่าย ๆ
อ้างอิง
- https://www.csis.org/programs/former-programs/warfare-irregular-threats-and-terrorism-program-archives/terrorism-backgrounders/hayat-tahrir
- https://www.reuters.com/world/middle-east/after-assads-ouster-syrian-rebel-leader-puts-his-stamp-state-2024-12-12/
- https://www.reuters.com/world/middle-east/main-rebel-factions-syria-2024-12-08/
- https://www.bbc.com/news/articles/c2ex7ek9pyeo