ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ถอดรหัสหนังผีไทยกับผู้กำกับคนดัง "ทวีวัฒน์ วันทา"


Interview

9 พ.ย. 67

สันทัด โพธิสา

Logo Thai PBS
แชร์

ถอดรหัสหนังผีไทยกับผู้กำกับคนดัง "ทวีวัฒน์ วันทา"

https://www.thaipbs.or.th/now/content/1868

ถอดรหัสหนังผีไทยกับผู้กำกับคนดัง "ทวีวัฒน์ วันทา"
บริการเสริมจาก Thai PBS AI

 

กลายเป็นภาพยนตร์ที่สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ให้กับวงการหนังไทย สำหรับ “ธี่หยด” ที่ล่าสุดภาค 2 เพิ่งเข้าโรงภาพยนตร์ฉายไป และโกยรายได้แตะพันล้านบาท 

ซึ่งหากย้อนกลับไปในภาคแรก หนังทำรายได้ไปกว่า 500 ล้านบาท แต่เหนืออื่นใด คือการปลุกกระแสหนังไทยให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง

หนึ่งในคนทำงานที่มีส่วนผลักดันให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จ นั่นคือ ผู้กำกับที่ชื่อ “คุ้ย - ทวีวัฒน์ วันทา” เขาอยู่กับโปรเจกต์ดังกล่าวนี้นับตั้งแต่วันแรก ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านการแก้ไข ปรับปรุง จนผลิตงานชิ้นนี้ออกมา จนกลายเป็นหนังระดับแตะพันล้านอีกเรื่องของเมืองไทย

Thai PBS ชวน คุ้ย-ทวีวัฒน์ มาพูดคุยถึงความสำเร็จครั้งนี้ รวมถึงเส้นทางชีวิตคนทำงานหนังไทย ที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ และต้องผ่านโจทย์ยาก ๆ มากมาย พร้อมทั้งยังช่วยคุ้ยแคะชำแหละความเป็น “หนังผีไทย” ทำอย่างไรถึงประสบความสำเร็จ ทุกเรื่องมีคำตอบรออยู่…

ถอดความสำเร็จ “ธี่หยด” 

ย้อนกลับไปยัง “ธี่หยด” ภาคแรก ทวีวัฒน์เล่าว่า หนังใช้เวลาฉายไปทั้งสิ้นราว ๆ ร้อยกว่าวัน รายได้จบที่ประมาณ 500 ล้านบาท แต่สำหรับภาคสองที่เพิ่งลงโรงฉายไปราว ๆ 3 สัปดาห์ ตัวเลขรายได้ (อัปเดต ณ วันที่ 31 ต.ค.67) อยู่ที่ราว 700 ล้านบาท กลายเป็นหนังที่ทำรายได้สูงในระยะเวลาอันสั้น

“ถามว่าเกินความคาดหมายไหม ถือว่าเกินไปพอสมควร เนื่องจากเป็นหนังภาคสอง แล้วทิ้งช่วงจากภาคแรกแค่ปีเดียว แต่เราอาศัยว่า ตีเหล็กต้องตีตอนร้อน ๆ จึงคาดหวังว่ากระแสของหนังจะยังมีอยู่ จึงปล่อยธี่หยดภาคสองออกมา ปรากฏว่ามันเกิดคาด หนังเปิดตัวมา 2 สัปดาห์แรก ตัวเลขรายได้แซงภาคแรกไปแล้ว”

ทวีวัฒน์บอกเล่าให้ฟัง พร้อมกับเล่าต่อว่า กุญแจความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่องนี้ มีหลายปัจจัยด้วยกัน แต่ทั้งหมดทั้งมวล ทุกสิ่งอย่างได้ผ่านกระบวนการคิดและวางแผนจากทีมงานมาเป็นอย่างดี 

“ถ้านับตั้งแต่ภาคแรก เราพยายามหาสูตรของหนังสยองขวัญว่ามีอะไรบ้าง หนึ่งคือ  base on true story หรือเรื่องที่เรารู้สึกว่ามันคือเรื่องจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่คนสนใจ ยกตัวอย่าง หนังชัตเตอร์ฯ ก็มาจากเรื่องจริง หรือลัดดาแลนด์ ก็เป็นการเล่าถึงสถานที่จริงแห่งหนึ่งที่เชื่อว่ามีวิญญาณอยู่”

“กระทั่งเราไปเจอเรื่องธี่หยด ซึ่งเป็นหนังสือมาก่อน ก่อนหน้านี้เคยมีการไปเล่าในรายการวิทยุ จนกลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์ ด้วยเนื้อหาของมันเอง มียอดออร์แกนิกที่เยอะอยู่แล้ว เราจึงคิดว่า ถ้าเอาเรื่องนี้มาทำ สมมติมีคนรู้จักธี่หยดอยู่ก่อนแล้วสัก 4-5 ล้านคน ถ้าขายตั๋วหนังให้คนเข้ามาดูได้สักล้านคน เราก็ถือว่าโอเคแล้ว”

ทวีวัฒน์ วันทา

อีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่มีผลต่อความสำเร็จของหนัง คือการได้นักแสดงระดับเอลิสต์ นั่นคือ ณเดชน์ คูกิมิยะ มาสวมบทบาทในเรื่อง

“เราได้ ณเดชน์ มาร่วมแสดง ต้องถือว่าเป็นการดึงความน่าสนใจได้ดี เพราะคนไม่คิดว่า ณเดชน์จะมาแสดงหนังแนวนี้ แต่ถ้าย้อนกลับไปตอนที่ยังเป็นบทภาพยนตร์ ผมเห็นภาพตัวละคร “ยักษ์” เป็นภาพของณเดชน์มาตลอด คือเราอยากได้คนที่ดูมีความเป็นพระเอก มีความเป็นพี่ใหญ่ของครอบครัว เราจึงตัดสินใจชวนณเดชน์มาร่วมงานนี้”

ภาพจากกองถ่ายทำหนังธี่หยด

ทวีวัฒน์เพิ่มเติมอีกว่า ปัจจัยความสำเร็จ ยังเป็นเรื่องทางการตลาด การประชาสัมพันธ์ และสุดท้ายคือ กระแสปากต่อปากของคนดู ทั้งหมดคือส่วนผสมที่ทำให้หนังเรื่องนี้เดินหน้าสู่ความสำเร็จ

“กระแสปากต่อปาก ทำให้หนังเป็นที่พูดถึง แต่สุดท้ายอยู่กับคอนเทนต์เป็นหลัก ว่ารอดหรือไม่รอด เพราะบางครั้งปัจจัยทุกอย่างครบ แต่ถ้าคอนเทนต์ไม่ดี งานก็แป่กได้เหมือนกัน”

ย้อนเส้นทางการทำหนัง ที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

กว่าจะมาทำหนังรายได้สูง ทวีวัฒน์บอกว่า เขาต้องใช้เวลากว่า 20 ปี ในการพิสูจน์ผลงานของตัวเอง เจ้าตัวย้อนเล่าให้ฟังว่า เขาเริ่มต้นชีวิตคนทำหนังจากการทำหนังสั้นส่งเข้าประกวดเมื่อ 20 ปีก่อน ก่อนจะได้รับโอกาสทำหนังเรื่องแรกในชีวิต คือเรื่อง “ขุนกระบี่ผีระบาด” ตามมาด้วย “อสุจ๊าก” และ “ทองสุก 13” 

แม้จะแจ้งเกิดในเส้นทางอาชีพผู้กำกับ ทว่าผลงานของเขากลับไม่ได้ทำรายได้ ในมุมกลับกัน ยังเป็นหนังแนวที่แตกต่างจากกระแสหลัก หนทางการทำงานในแวดวงหนังไทยจึงไม่ราบรื่นเท่าที่ควร

“ช่วงนั้นผมกลายเป็นตัวอันตรายของวงการหนัง คือค่ายไหนเห็นชื่อผมก็ไม่เอา หาว่าเพี้ยนบ้าง คุยไม่รู้เรื่อง เป็นตัวอันตราย ตอนนั้นรู้สึกตัวว่า อาชีพนี้ท่าทางจะไปไม่รอด เคยคิดขนาดจะเปลี่ยนไปขายก๋วยเตี๋ยว แต่โชคดี หาสูตรน้ำซุปไม่ได้”

ทวีวัฒน์เล่าขำ ๆ แต่ยังย้ำว่า คิดจะไปขายก๋วยเตี๋ยวจริง ๆ แต่โชคดีว่า ในเวลานั้นเขาเบนเส้นทางไปเป็นผู้กำกับละคร จึงทำให้ยังดำเนินอาชีพที่รักนี้มาได้

“ผมหันมาทําละคร เพราะตอนนั้นละครยังเป็นอุตสาหกรรมที่มั่นคงสำหรับคนทํางานด้านนี้ ทําละครมา 10 ปี เซ็นสัญญากับทางช่องสาม แล้วก็ไม่ได้ทําหนังอีกเลย”

“ถามว่ายังอยากทำหนังอยู่ไหม ยังมีความคิดอยู่ตลอด แต่ถ้าจะทำ เราอยากทำด้วยบทหนังที่ดี อยากทำจาก source ที่ดี จนสุดท้ายก็มาเจอธี่หยด ทำให้รู้สึกอยากกลับมาทำหนังอีกครั้ง”

แต่กว่าที่ธี่หยดจะได้เริ่มต้นสร้าง ทวีวัฒน์เล่าว่า เขาต้องใช้เวลาอีกกว่า 6 ปี กว่าที่โปรเจกต์นี้จะได้เริ่มต้นขึ้น

“ธี่หยดไม่ได้ปุบปับทำเลย ผมใช้เวลา 6 ปี ไปคุยกับคนเขียนนิยาย รวมทั้งพัฒนาเป็นบทหนัง กระทั่งเอาไปคุยกับค่ายหนัง บางค่ายก็ขอให้ปรับนู่นนี่ ผมก็ไม่ยอม เพราะไม่ต้องแคร์อะไร ตอนนั้นเรามีงานประจำทำอยู่แล้ว (หัวราะ) จนสุดท้ายผ่านไป 6 ปี มาเคาะโปรเจกต์กันลงตัวจริง ๆ คือกับช่อง 3 และค่ายหนังเมเจอร์ โชคดีที่เราทำงานกับช่อง 3 มาก่อนอยู่แล้ว เขาค่อนข้างเชื่อมือ ตอนคุยกันจึงเป็นไปด้วยดี”

“แต่สิ่งที่ท้าทายคือ เขาบอกถ้าทําหนังผี มันยากในเรื่องของการขาย สปอนเซอร์จะไม่ซื้อ ส่วนใหญ่จะแอนตี้หนังผีกันหมด เขาคิดว่าหนังผีไล่คนดู แต่สุดท้ายเขาก็เชื่อมือเรา จนทำให้หนังได้สร้างขึ้น และประสบความสำเร็จในที่สุด”

ถามทวีวัฒน์ว่า เขามองเห็นเสน่ห์อะไรในหนังธี่หยด จนทำให้ประสบความสำเร็จได้อย่างที่เห็น

“ผมว่าเสน่ห์ของธี่หยดภาคแรก มันคือความไม่รู้ของตัวละคร ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทําไมพี่ชายถึงไล่ยิงปืนอยู่นอกบ้าน หนังเรื่องนี้เล่าผ่านมุมมองของบุคคลที่สาม ความสนุกจึงอยู่ตรงนี้ รวมทั้งความไม่ชัดเจนของผี ทำไมต้องมาเอาอะไรที่บ้านหลังนี้ คือทุกอย่างเต็มไปด้วยคําถามและความไม่รู้”

“คอนเซปต์นี้ เวลาไปเสนอค่ายหนัง เขามักจะบอกว่า มันไม่ใช่สูตรหนังผี หนังผีต้องมีจังหวะหลอก จังหวะขาย แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ เป็นคนละสูตรกัน หนังจึงแปลกไปกว่าที่คนดูเคยดู จุดนี้จึงอาจเป็นสิ่งที่ทำให้หนังประสบความสำเร็จ”

กว่า 20 ปีบนเส้นทางคนทำหนัง สุดท้ายทวีวัฒน์ ก็ได้ก้าวขึ้นมายังจุดที่เรียกว่า ประสบความสำเร็จ มีชื่อติดอยู่ในฐานะ “ผู้กำกับหนังระดับพันล้าน” 

“ผมว่าภาพยนตร์มันเป็นการทํางานที่เราไม่ได้ขายทรานสคริปต์ คือไม่ได้ขายผลงานเก่า ๆ ที่เราทำอะไรมาบ้าง เพราะเมื่อถึงเวลาทำงาน เราขึ้นไปแลกหมัดล้วน ๆ สุดท้ายมันอยู่ที่ว่า ด้วยฝีมือของเรา จะทำให้มีหนทางต่อไปได้หรือเปล่า”

ก้าวต่อไปในฐานะ “ผู้กำกับหนังพันล้าน”

ณ ขณะที่คุยกัน ตัวเลขรายได้ของหนังธี่หยด 2 พุ่งไปแตะ 700 ล้านบาท ไม่ช้าไม่นาน คำว่า “ผู้กำกับพันล้าน” จะถูกนำมาใช้เรียกขานทวีวัฒน์อย่างแน่นอน แต่ส่วนตัวเขากลับมีความรู้สึกว่า ไม่เคยมองตัวเองเก่งกาจแต่อย่างใด

“สิ่งที่เรารู้สึกมาตลอดตอนที่ทํางานคือ เราไม่เก่ง เราอ่อน เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่งที่จะแก้ความไม่เก่งคือ เราต้องทําการบ้านเยอะ สมมติพรุ่งนี้ผมมีถ่าย ผมจะอยู่บ้าน นั่งทําการบ้าน recap สิ่งที่ตัวเองต้องทำ พรุ่งนี้ถ่ายอะไรยังไง เพราะการออกกองครั้งหนึ่งใช้เงินหลายแสนบาท เราต้องทำงานให้คุ้มกับเงินที่ใช้ไปให้มากที่สุด”

ทวีวัฒน์ย้ำว่า แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นผู้กำกับระดับพันล้าน แต่ก็ไม่ติดอยู่กับฉายาเหล่านี้ รวมถึงไม่รู้สึกกดดันกับการผลิตผลงานต่อ ๆ ไป

“สิ่งที่จะทำต่อไป สำหรับผมขึ้นอยู่กับความน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นหนังแนวไหนก็ตาม ถ้าเรารู้สึกว่ามันตอบโจทย์การทำงานของเรา เราก็พร้อมที่จะทำ ที่ผ่านมา สิ่งที่เราทำ เราทำด้วยความสุจริตใจ ทำด้วยตัวตนของเรา เราทำในสิ่งที่ชอบและถนัดจริง ๆ ดังนั้น ผลงานต่อ ๆ ไป มันก็คงเป็นไปตามธรรมชาติของเราแบบนี้”

ถามทวีวัฒน์ว่า กังวลว่าจะต้องกำกับหนังผีต่อไปอีกนานหรือไม่ เพราะชื่อของเขาคงถูกพะยี่ห้อว่าเป็นผู้กำกับหนังผีระดับพันล้าน 

“หากจะทำหนังผีต่อไป ผมก็ทำได้ ถ้ามันเป็นงานที่น่าสนใจ ผมยังมองว่า หนังผียังมีฌอง (Genre) ที่ให้เล่าอีกเยอะ ส่วนถามว่าสนใจแนวอื่น ๆ หรือสามารถทำหนังแนวอื่นได้ไหม ถ้าได้บทที่อยากทํา พลอตเรื่องที่เรารู้สึกว่าสนุก รู้สึกว่าท้าทาย ผมก็พร้อมที่จะทำ”

ทวีวัฒน์บอกว่า ต้นปีหน้า ( พ.ศ.2568) เขากำลังจะมีโปรเจคท์ที่ท้าทายตัวเองอีกครั้ง ด้วยการเปิดบริษัทผลิตหนังแนวสยองขวัญโดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังตั้งใจที่จะสร้างผู้กำกับรุ่นใหม่ขึ้นมารันแวดวงหนังไทยให้มากยิ่งขึ้น

“บริษัทนี้มีชื่อว่า 13 สตูดิโอ ที่มาของชื่อนี้คือ ตัวเลข 13 พอกลับหัวจะอ่านว่า ผี จุดประสงค์ของการทำบริษัทนี้ เราอยากถอยออกมาเป็นเหมือนคนดูแลโปรเจคท์ คอยทำหน้าที่มองหาไอเดียดี ๆ พร้อมกับหาช้างเผือก หรือผู้กำกับรุ่นใหม่ ๆ มาร่วมงาน โปรเจคท์นี้ท้าทายเราตรงที่ว่า เราสามารถมองตลาดแล้วผลิตงานได้แม่นยำเพียงใด ซึ่งคอนเทนต์ที่ทำขึ้นมาจะเป็นคำตอบ”

เสน่ห์ของหนังผีไทย และการดำรงอยู่ของ “คนทำหนังไทย” ในอนาคต

ช่วงท้ายการพูดคุย ในฐานะผู้กำกับที่สร้างกระแสให้หนังไทยกลับมาคึกคักอีกครั้ง ทวีวัฒน์มองว่า แม้ตัวเองจะเป็นส่วนหนึ่งของการดึงคนดูหนังให้กลับเข้าสู่โรงภาพยนตร์ แต่ทั้งหมดทั้งมวล บุคลากรในแวดวงหนังไทยคนอื่น ๆ ก็ยังมีส่วนช่วยกันทำให้หนังไทยมีคนดูมากขึ้น รวมทั้งต้องสร้างความหลากหลายให้กับหนังไทยต่อไป

“ก่อนธี่หยด 2 จะเข้าโรง มีคนบอกว่า หนังของผมเป็นความหวังให้หนังไทยกลับมาคึกคัก ซึ่งถ้าเปรียบงานของผมเหมือนก้อนหินสักก้อนที่โยนลงไปในน้ำ แรงกระเพื่อมมันก็เกิดขึ้นแหละ แต่มันเกิดอยู่ได้ไม่นาน ดังนั้น มันอาจจะต้องโยนลงไปเรื่อย ๆ ต้องช่วยกันกระตุ้น สร้างผลงานหนังไทยให้คนกลับมาดูกันให้ได้”

“ถามผมว่า ทำอย่างไรให้หนังไทยได้รับการยอมรับมากขึ้น สำหรับผม ย้อนกลับไปที่เรื่องพื้นฐาน ทำพื้นฐานให้ดีซะก่อน ถ้าพื้นฐานมันดี ไม่ว่าจะเป็นด้านศิลปะ วัฒนธรรม การศึกษา ถ้าได้รับการส่งเสริมให้ดี แล้วทุกอย่างจะเสริมกัน โดยที่ไม่ต้องมาทําโครงการพัฒนาหนังไทย เช่น จัดงาน Thai night มีกิจกรรมร้องรําทําเพลง กินอาหารแล้วก็จบกันในวันเดียว เหมือนจบในตอน แล้วหลังจากนั้นทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม ถ้าจะทำกันอย่างจริงจัง มันต้องเริ่มจากพื้นฐาน แล้วพัฒนาไปร่วมกัน”

ภาพจากกองถ่ายหนังธี่หยด

ภาพจากกองถ่ายหนังธี่หยด

ถามทวีวัฒน์ว่า ทำไมหนังผีไทยถึงยังคงครองใจคนดูอยู่เสมอ เขาบอกว่า ด้วยรากทางวัฒนธรรมของเมืองไทย ผูกพันกับเรื่องราวทำนองนี้มายาวนาน เป็นเหตุให้เมื่อพูดถึงหนังผีไทย อย่างไรคนไทยก็ “อิน” อยู่ดี

“ประเทศไทยเป็นเมืองผี หมายถึงเรามีความเชื่อ มีวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องลี้ลับอยู่มากมาย ทั้งดิน น้ำ ลม ฟ้า อากาศ ต้นไม้ ทุกอย่างมีเรื่องราวความศักดิ์สิทธิ์ เพราะฉะนั้น ผมว่าเสน่ห์มันคือ เรามี culture อะไรแบบนี้อยู่เยอะ เราจึงหยิบจับอะไรมาใช้ในการเล่าเรื่องผีได้มากมาย”

“แล้วกิจกรรมที่ดึงคนให้เข้ามาในโรงภาพยนตร์ โดยเฉพาะที่เป็นกลุ่มคนได้เยอะที่สุด มันก็น่าจะมีแค่หนังผี หนังสยองขวัญนี่แหละ มันเหมือนให้คุณไปนั่งรถไฟเหาะคนเดียว เราก็คงไม่อยากนั่ง แต่ถ้ามานั่งกันหลายคน มันก็คงสนุก การดูหนังผีก็คงไม่ต่างกัน ต้องรวมกลุ่มกันมาดู มันถึงจะสนุก ตื่นเต้น เร้าใจ” 

ทวีวัฒน์บอกต่อว่า ถึง “หนังผี” จะครองใจผู้คน แต่สุดท้าย “หนังที่ดี” หรือคอนเทนต์ที่ดี จะครองใจผู้ชมไปอย่างยาวนานมากกว่า

“ผู้ชมก็เหมือนลูกค้า เขาจะซื้อคอนเทนต์ของเราต่อหรือไม่ คำถามสำคัญคือ เราจะทําอย่างไรให้เขารู้สึกว่า การมาโรงภาพยนตร์ทุกครั้งของเขายังสนุกอยู่  ทั้งหมดอยู่ที่คนทำคอนเทนต์อย่างเดียวเลย”

20 กว่าปีในแวดวงหนังไทย วันนี้ ทวีวัฒน์ วันทา มาถึงจุดที่เคยฝันเอาไว้ แต่หนทางยังอีกยาวไกล โดยเฉพาะการเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ “หนังไทย” ได้รับการยอมรับ ทั้งในระดับประเทศ และระดับนานาชาติ ทั้งหมดยังเป็นโจทย์ให้ผู้กำกับคนนี้ต้องเดินทางต่อไป

“การทำงานในวันนี้ของเรา ผมยังให้ความสำคัญกับคำว่า ใจเขาใจเรา คือเรายังมองงานในแง่เชิงพาณิชย์อยู่ เรายังแคร์นายทุน และเราก็แคร์คนดู ในคราวเดียวกัน เราก็แคร์ตัวเองด้วย”

“เพราะฉะนั้น ความท้าทายที่สุดในวันนี้ของผม คือเราจะทํายังไงให้งานของเราตอบโจทย์คนดู ตอบโจทย์นายทุน แล้วก็ตอบโจทย์ตัวตนของเราด้วย ถ้าทำได้ ผมคิดว่า นั่นคือความสำเร็จ”

ที่สุดของคนทำงาน คือการได้รับการยอมรับ แต่เหนือไปจากการได้รับการยอมรับ คือการได้พัฒนาผลงานตัวเอง พร้อมทั้งยังเป็นผลงานที่ตอบโจทย์ผู้คน...

ถ่ายภาพโดย สุภณัฐ รัตนธนาประสาน

 

 

แท็กที่เกี่ยวข้อง

ทวีวัฒน์ วันทาหนังธี่หยดผู้กำกับพันล้านหนังผีหนังไทย
สันทัด โพธิสา
ผู้เขียน: สันทัด โพธิสา

เจ้าหน้าที่เนื้อหาออนไลน์อาวุโส Thai PBS สนใจความเคลื่อนไหวของสังคม ผู้คน และเทรนด์ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ และรวมถึงเป็นสมาชิกทาสแมวมายาวนาน

บทความ NOW แนะนำ

ข่าวล่าสุด