คืนวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 1971 ขณะที่คนอเมริกันทั้งประเทศกำลังจดจ่อกับศึกมวยแห่งศตวรรษระหว่าง มูฮัมหมัด อาลี และ โจ ฟราเซียร์ กลุ่มคนธรรมดาจำนวน 8 คนกำลังเสี่ยงชีวิตเพื่อเปิดโปงความลับอันน่าสะพรึงกลัวของเอฟบีไอ และปฏิบัติการลับครั้งนี้ไม่เพียงเปลี่ยนชีวิตของพวกเขาไปตลอดกาล แต่ยังส่งผลกระทบต่อประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกันอย่างใหญ่หลวง!
สารคดีเรื่อง "1971" ของผู้กำกับ โจแฮนนา แฮมิลตัน บอกเล่าเรื่องราวของกลุ่ม “คณะกรรมการพลเมืองเพื่อสืบสวนสอบสวนเอฟบีไอ” (Citizens' Commission to Investigate the FBI) ผู้ตัดสินใจบุกเข้าไปในสำนักงานเอฟบีไอที่เมืองมีเดีย รัฐเพนซิลเวเนีย เพื่อขโมยเอกสารลับจำนวนมหาศาล พวกเขาประกอบด้วยประชาชนหลากหลายอาชีพ ทั้ง บิลล์ ดาวิดอน อาจารย์ฟิสิกส์ผู้เป็นแกนนำ, คีท ฟอร์ไซท์ คนขับแท็กซี่, บ็อบ วิลเลียมสัน นักสังคมสงเคราะห์, จอห์น กับ บอนนี่ เรนส์ คู่สามีภรรยาที่มีลูกเล็ก 3 คน และสมาชิกคนอื่น ๆ ที่ไม่เปิดเผยตัวตน โดยทุกคนหวังว่าจะได้พบหลักฐานการสอดแนมประชาชนผู้บริสุทธิ์อย่างผิดกฎหมายของเอฟบีไอ ภายใต้การนำของ เจ เอ็ดการ์ ฮูเวอร์
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในบริบทของความขัดแย้งทางการเมืองและสังคมที่รุนแรงในสหรัฐฯ ช่วงปลายทศวรรษ 1960 ถึงต้นทศวรรษ 1970 ทั้งการต่อต้านสงครามเวียดนาม การเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิพลเมือง และการเติบโตของขบวนการฝ่ายซ้ายใหม่ เอฟบีไอภายใต้การนำของฮูเวอร์ทำการสอดแนมและปราบปรามกลุ่มพลเมืองเหล่านี้อย่างกว้างขวาง โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ การบุกเข้าไปในสำนักงานเอฟบีไอครั้งนี้จึงเป็นความพยายามของประชาชนในการเปิดโปงการใช้อำนาจโดยมิชอบของรัฐบาล ในยุคที่การเข้าถึงข้อมูลของหน่วยงานรัฐเป็นไปได้ยากมาก
เอกสารที่ถูกคนทั้งแปดนั้นขโมยออกมาได้ (ด้วยวิธีอันสุดระทึกที่เราขอชวนคุณให้รับชมในหนังด้วยตัวเอง) เปิดเผยให้เห็นแผนการสอดแนมอันน่าขนลุกของเอฟบีไอต่อกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง นักศึกษา ชุมชนคนผิวดำ และมันนำไปสู่การเปิดโปงโครงการยักษ์ใหญ่ของรัฐที่เต็มไปด้วยการละเมิดสิทธิมนุษยชนและผิดกฎหมาย ในจำนวนนั้นมีทั้งการส่งจดหมายข่มขู่ มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ ให้ฆ่าตัวตาย การแทรกซึมและทำลายองค์กรฝ่ายซ้าย การสังหารผู้นำพรรคแบล็คแพนเธอร์ในชิคาโก ฯลฯ ซึ่งก็เพราะการเปิดโปงนี่นี้เอง ที่ทำให้สหรัฐฯ ต้องปฏิรูปการทำงานของหน่วยงานข่าวกรองครั้งใหญ่ และออกกฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิพลเมืองมากขึ้น
ผู้กำกับแฮมิลตันเล่าว่า เธอโชคดีมากที่ได้รู้จัก เบ็ตตี้ เมดส์เจอร์ (นักข่าวซึ่งตีพิมพ์เรื่องปฏิบัติการลับนี้) มานาน และทำให้เธอมีโอกาสนำเรื่องราวมาถ่ายทอดเป็นสารคดีในวันที่แกนนำคนสำคัญของค่ำคืนนั้นพร้อมจะเปิดเผยตัวตนเป็นครั้งแรก ความยากที่แฮมิลตันต้องเจอจึงไม่ใช่แค่การต้องพยายามสร้างบรรยากาศการพูดคุยและถ่ายทำในแบบที่ซับเจ็กต์จะรู้สึกผ่อนคลายเท่านั้น แต่การที่เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นความลับสุดขีด ยังหมายความว่าเธอจะไม่มีฟุตเตจหรือภาพถ่ายของจริงให้ใช้เลย ทางออกของเธอจึงต้องเป็นการสร้างเหตุการณ์จำลองขึ้นมาใหม่และใช้นักแสดงมาช่วยสวมบทบาท เพื่อให้คนดูสามารถเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกของพวกเขาและของเหตุการณ์ได้อย่างเต็มที่
ไม่ใช่เรื่องแปลกหากใครได้ชมสารคดีเรื่องนี้ แล้วจะพลอยนึกถึงสารคดีเรื่องดังกวาดรางวัลอย่าง CitizenFour ไปพร้อมกัน เพราะทั้งสองเรื่องเป็นการนำกล้องเข้าไปเปิดเผยตัวตนของบุคคลที่เสี่ยงตายฉีกหน้ากากรัฐบาลเหมือนกัน แสดงให้เห็นทั้งความกล้าหาญ ความหวาดกลัว และความเป็นปุถุชนของพวกเขาเช่นเดียวกัน แถม 1971 ก็ยังมี ลอรา พอยทราส ผู้กำกับ CitizenFour เป็นหนึ่งในโปรดิวเซอร์อีกด้วย
แฮมิลตันเชื่อว่าแม้เรื่องราวใน 1971 จะผ่านมาแล้วร่วมครึ่งศตวรรษ แต่มันกลับยังดูเป็นปัจจุบันมาก ๆ โดยเฉพาะในยุคหลัง 9/11 ที่รัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มอำนาจในการสอดแนมประชาชนมากขึ้นทุกที นี่จึงไม่ใช่แค่สารคดีที่เล่าเรื่องอดีต แต่เป็นการตั้งคำถามถึงบทบาทของพลเมืองในการตรวจสอบรัฐบาล และความสมดุลระหว่างความมั่นคงของชาติกับสิทธิเสรีภาพของประชาชนซึ่งยังคงเป็นประเด็นร้อนแรงในปัจจุบัน
จอห์น เรนส์ หนึ่งในผู้กล้าของหนังสรุปความสำคัญของเหตุการณ์ไว้อย่างชัดเจนว่า "หากพวกเราไม่ทำแบบที่ทำวันนั้น เราก็คงไม่รู้เรื่องโครงการลับของรัฐตลอดไป เมื่อความลับถูกเปิดเผย รัฐจึงได้ลงมือปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่แล้วทั้งหมดนั้นก็ถูกโยนทิ้งไปหลังเหตุการณ์ 9/11 และเราก็ต้องกลับไปสู่จุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง”
▶ ติดตามสารคดี 1971 เรื่องราวในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ.1971 ท่ามกลางความสับสนที่ผู้คนมีต่อผู้มีอำนาจ พลเมือง 8 คน ตัดสินใจลุกขึ้นทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด พวกเขาบุกสำนักงานเอฟบีไอแล้วขโมยเอกสารลับทางราชการออกไปทุกชิ้น ปฏิบัติการของพวกเขาสร้างประวัติศาสตร์ เปิดโปงแผนลับของรัฐในการสอดแนมประชาชน
รับชมได้ทาง www.VIPA.me หรือ VIPA Application