โอลิมปิก 2024 กำลังกลายเป็นเวทีของข้อถกเถียงครั้งใหญ่ หลังจากที่ แองเจล่า คารินี (Angela Carini) นักมวยหญิงจากอิตาลี ตัดสินใจยอมแพ้ต่อ อิมาน เคลิฟ (Iman Khelif) คู่ชกจากแอลจีเรีย พร้อมประท้วงถึงความไม่ยุติธรรมหลังชกเพียง 46 วินาที
เหตุเกิดจาก อินาม เคลิฟ คู่ชกที่ดูเหมือนผู้ชายมากกว่าผู้หญิง เกิดเป็นกระแสข้อถกเถียงกันถึงความหลากหลายทางเพศ เพศทางชีววิทยา และความไม่ยุติธรรมในการแข่งขันมวย
ทั้งนี้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ข้อถกเถียงจากการกรณีนักกีฬาหญิงที่ดูเหมือนชายเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งตัวแปรในการตัดสินตอนนี้คือ การใช้การตรวจระดับ “เทสโทสเตอโรน” หรือฮอร์โมนเพศชายนั่นเอง
Thai PBS ขอชวนทุกคนไปรู้จัก การตรวจเพศในการแข่งขันกีฬา ระดับเทสโทสเตอโรนคืออะไร ? และส่งผลต่อความได้เปรียบเสียเปรียบอย่างไรบ้าง ? แล้วที่มาที่ไปเหตุใดจึงใช้การตรวจระดับฮอร์โมนนี้ ?
ตรวจเพศในนักกีฬาเริ่มต้นอย่างไร ?
ย้อนกลับไปในอดีต โอลิมปิกยุคใหม่ที่จัดขึ้นครั้งแรกในปี 1896 นั้นมีแต่การแข่งขันสำหรับนักกีฬาชาย การแข่งขันสำหรับนักกีฬาหญิงเริ่มขึ้นในอีก 4 ถัดมาเท่านั้น ซึ่งการแบ่งเพศในยุคนั้นใช้เพียงเพศตามสูติบัตร หรือก็คือตามเพศกำเนิดที่หมอแจ้งนั่นเอง
ในช่วงแรกเริ่มนั้นการแข่งขันกีฬาโดยเฉพาะประเภทกีฑาเกิดกรณีของนักกีฬาหญิงที่ดูเหมือนผู้ชาย โดยมีกรณีตั้งแต่ สเตลล่า วอลซ์ (Stella Walsh) นักกรีฑาหญิงจากโปแลนด์ ดอรา รัตเยน (Heinrich Ratjen) นักกีฬากระโดดสูงจากเยอรมัน จนถึงซเดน่า คุบโคน่า (Zdena Koubková) นักกีฑาหญิงจากเชโกสโลวะเกีย ในช่วงก่อนโอลิมปิกปี 1936
โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากการที่ ซเดน่า คุบโคน่า ทำผลงานได้อย่างโดดเด่น ทำลายสถิติหลายอย่างได้พบกับการความเปลี่ยนแปลงในร่างกายจนได้ทำการเปลี่ยนเพศ และเผยในเวลาต่อมาว่าตนเองมีภาวะเพศกำกวมหรือ intersex การศึกษาเกี่ยวกับการตรวจเพศ (sex testing) ในกีฬาอย่างเป็นระบบจึงค่อย ๆ เกิดขึ้น
ทั้งนี้ ฉากหลังของโอลิมปิก 1936 ที่เบอร์ลินมีความขัดแย้งในช่วงสงครามโลกที่ให้การแข่งขันกีฬาระหว่างประเทศเป็นเวทีแสดงพลังของชาติ จึงทำให้กรณีการโกงด้วยเพศ (sex fraud) กลายเป็นกรณีอ่อนไหว คือมีนักกีฬาหญิงถูกโจมตีว่าโกงด้วยเรื่องเพศจำนวนนึง ซึ่งในเวลาหลายปีต่อมาบางคนถูกเปิดเผยข้อมูลว่าเป็น intersex อย่างไรก็ตาม ในเวลานั้นการแข่งขันของพวกเธอก็ได้รับการยอมรับจากโอลิมปิก และไม่ถือว่าพวกเธอทำผิดกติกาสำหรับการแข่งชันในประเภทหญิง
แต่ผลสืบเนื่องจากข้อครหา “การโกงด้วยเพศ” จุดประเด็นให้เกิดการตรวจเพศอย่างเป็นระบบเริ่มมีการศึกษาและหาแนวทางการตรวจสำหรับกีฬาอย่างเป็นทางการในเวลาต่อมา
ตรวจเพศนักกีฬาหญิง ดูด้วยตาจนถึงโครโมโซม
การตรวจเพศนักกีฬาเริ่มขึ้นตั้งแต่ในช่วงทศวรรษที่ 1930 นั้นเอง โดยมีตั้งแต่การตรวจด้านเอกสารยืนยันทางการแพทย์ แต่ก็ไม่ได้เป็นหลักฐานที่หนักแน่นมากนัก ประเด็นเกี่ยวกับเพศสภาพของนักกีฬาได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ มีการศึกษาเกี่ยวกับ “ความเป็นผู้หญิง” โดยสรุปรวมทั้งด้านสังคมและวัฒนธรรมเพื่อนำมาไปสู่นิยามที่ยอมรับได้ในกีฬาระดับชาติ และการตรวจเพศก็มาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญหลังทศวรรษที่ 1960
ตัวแปรสำคัญในครั้งนี้คือความสำเร็จของทีมนักกีฬาหญิงจากสหภาพโซเวียดและเยอรมนีตะวันตก ทำให้องค์กรกีฬาในยุโรปแสดงความกังวลเกี่ยวกับความเป็นหญิง ยังมีสื่อมวลชนและนักวิเคราะห์ร่วมพูดคุยถึงประเด็นเรื่องเพศโดยเฉพาะกรณีของพี่น้องอิรินา และทามาร่า เพรส ทว่าความน่าสงสัยที่นำไปสู่การตรวจเพศกลับไม่เคยเกิดขึ้น (ที่ ณ เวลานั้นยังไม่มีขั้นตอนอย่างเป็นทางการ เป็นกรณีพิเศษที่เกิดขึ้น) เนื่องจากทั้ง 2 ได้ขอถอนตัวไปเสียก่อน สิ่งนี้ยิ่งเติมเชื้อไฟให้กับข้อถกเถียงว่า การตรวจเพศควรทำอย่างไร ?
ถึงตอนนี้การตรวจเพียงเอกสารทางการแพทย์ที่ยืนยันเรื่องเพศไม่เพียงพออีกต่อไป ในช่วงปีทศวรรษที่ 1950 (1952-1967) มีการตรวจเพศที่ใช้วิธีการที่เรียกกันว่า Physical Examination เป็นการให้แพทย์ตรวจดูอวัยวะเพื่อยืนยันว่าตรงกับเพศ แน่นอนว่านักกีฬาหญิงมากมายรู้สึกไม่ดีกับวิธีการดังกล่าว ทั้งยังมีข้อครหา เช่น แพทย์อาจวินิจฉัยว่านักกีฬาหญิงคนนั้น ๆ มีลักษณะทางเพศเป็นชายมากเกินไป อย่างการไม่มีหน้าอก หรือมีกล้ามเนื้อที่ถูกใหญ่เกินกว่าจะเป็นผู้หญิง และถูกตัดสิทธิ์ได้
การตรวจด้วยโครโมโซม (chromosomal test) ถูกค้นพบและนำมาใช้ในปี 1967 เอวา โคลบูคอฟส์กา (Ewa Kłobukowska) นักวิ่งระยะสั้นหญิงจากโปแลนด์กลายเป็นเคสแรก ๆ ที่ผ่านการตรวจด้วย Physical Examination แต่ไม่ผ่านการตรวจเพศด้วยโคโมโซม ซึ่งในเวลาต่อมาหลังจากที่เธอถูกลิบรางวัล เธอยังคงใช้ชีวิตเป็นผู้หญิงและมีลูก การตรวจด้วยโครโมโซมเริ่มถูกตั้งคำถามถึงการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม
การตรวจด้วยโครโมโซมกลายเป็นวิธีตรวจเพศมาตรฐานในกีฬาระดับชาติกินเวลายาวนานถึง 30 ปี (1968 – 1996) การตรวจเพศด้วยโครโมโซมก็มาถึงจุดเปลี่ยนในปี 1996 เพราะผู้หญิงบางคนมีโครโมโซม XY เหมือนผู้ชาย กรณีหนึ่งที่เกิดขึ้นคือนักวิ่งข้ามรั้วหญิง Maria Martinez-Patino ที่ถูกตรวจพบว่ามีโครโมโซม XY โดยเธอต่อสู้มาอย่างยาวนานจนมีผลการตรวจระดับเทสโทสเตอโรน (testosterone) พบว่ามีปฏิกิริยาเป็น 0 หรือก็คือเธอไม่ได้มีความได้เปรียบใดใดเลย
จากการมีโครโมโซมแบบเพศชาย สาเหตุก็มาจากที่ว่าเธอเป็นมีกลุ่มอาการต่อต้านแอนโดรเจน (androgen insensitivity syndrome - AIS) ตอนนี้เองที่เทสโทสเตอโรนเริ่มเข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญหนึ่งของการตรวจเพศในกีฬาสำหรับยุคปัจจุบัน
เทสโทสเตอโรน ความได้เปรียบในการแข่งขันกีฬา
เทสโทสเตอโรน (testosterone) หรือฮอร์โมนเพศชาย ในโลกกีฬาถือเป็นฮอร์โมนที่มีส่วนสำคัญในการสร้างกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขันกีฬาที่ต้องใช้พละกำลัง โดยปกติแล้วในเพศชายจะมีเทสโทสเตอโรนอยู่ที่ 7.7-29.4 nmol/L (หน่วยวัดปริมาณฮอร์โมนเป็นนาโนลิตร) ขณะที่ผู้หญิงโดยทั่วไปจะอยู่ที่ 0.12-1.79 nmol/L
เมื่อเทสโทสเตอโรนส่งผลต่อความได้เปรียบในการแข่งขันกีฬา การตรวจเพศในกีฬาจึงมีเกณฑ์ดังกล่าวขึ้นมาพิจารณาหลังจากการตรวจโครโมโซมถูกตั้งข้อสงสัยหลายครั้ง มีนักกีฬาเกิดมาเป็นหญิงหลายคนมีความผิดปกติที่โครโมโซมเป็น XY ทั้งกรณีอาการกลุ่มอาการต่อต้านแอนโดรเจน (AIS) และอาการผิดปกติของพัฒนาการระบบอวัยวะเพศ (Disorder of Sexual Development - DSD)
ลักษณะของอาการมีกรณีที่เกิดมาพร้อมโครโมโซม XY แต่การทำงานของฮอร์โมนเพศมีความผิดปกติ ทำให้ร่างกายเกิดมาเป็นผู้หญิงแต่ก็มีการผลิตฮอร์โมนเพศชายขึ้นมาจนร่างกายมีความเป็นชายมากขึ้นในภายหลัง ทำให้นักกีฬาหญิงที่มีโครโมโซม XY สามารถลงแข่งได้
ทำให้ในช่วงเวลาหนึ่งที่การตรวจเพศด้วยโครโมโซนผ่อนปรนลง การตรวจเพศจะมีลักษณะเป็นรายกรณี พิจารณาตามชนิดกีฬา โลกยังคงพยายามทำความเข้าใจกับความหลากหลายของทางร่างกายของเพศตามแต่ละชนชาติ
กระทั่งกรณีของ คาสเตอร์ เซเมนยา (Caster Semenya) นักกรีฑาดาวรุ่งจากแอฟริกาใต้ ที่มีภาวะ DSD เธอคว้าเหรียญทองโอลิมปิกมาได้ 2 สมัย ด้วยมัดกล้ามที่ดูเหมือนผู้ชาย เสียงทุ้มต่ำ แม้จะมีการยืนยันตัวตนพร้อมข้อวินิจฉัยทางการแพทย์ว่ามีภาวะ DSD นั่นคือถือเป็นผู้หญิงแต่กำเนิดแน่นอน แต่ก็มีความได้เปรียบทางกายภาพอย่างชัดเจน
องค์กรด้านกีฬาที่เกี่ยวข้องจึงประชุมและได้ข้อสรุปเป็นการวัดระดับเทสโตสเทอโรน (Testosterone regulations) ซึ่งถือเป็นฮอร์โมนที่สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันกีฬา โดยกำหนดขึ้นในปี 2011 มีการจำกัดให้ระดับเทสโทสเตอโรนของนักกีฬาหญิงต้องต่ำกว่า 10 nmol/L
อย่างไรก็ตาม ถึงตอนนี้ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนก็ยังคงมีการศึกษากันอย่างต่อเนื่อง มีข้อค้นพบว่าระดับเทสโทสเตอโรนไม่มีความเชื่อมโยงกับประสิทธิภาพในการแข่งขันกีฬาหญิงหลายชนิด แต่ในการแข่งขันที่เน้นพละกำลังอย่างการวิ่งระยะสั้น การขว้างจักร รวมถึงพุ่งหลาวนั้น ระดับเทสโทสเตอโรนยังคงมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่
กรณีอิมาน เคลิฟ เกิดอะไรขึ้น
กรณีของอิมาน เคลิฟ นั้นไม่ผ่านตรวจเพศกับทางสมาคมมวยสากลนานาชาติ (International Boxing Association - IBA) เนื่องจากการตรวจเพศของ IBA นั้นมีการใช้การตรวจโครโมโซมร่วมด้วย ขณะที่การตรวจเพศในกีฬาโอลิมปิกนั้นมีการปรับมาจนใช้เกณฑ์หลักคือการตรวจระดับเทสโทสเทอโรนอย่างเดียวเท่านั้น
น่าสนใจว่าถึงตอนนี้การตรวจเพศกลายเป็นประเด็นที่ถูกตั้งคำถามจากหลายฝ่าย และเกิดขึ้นหลายต่อหลายกรณี สิ่งสำคัญหนึ่งสำหรับเกณฑ์กีฬานั้น ย่อมหนีไม่พ้นการแข่งขันที่มีความยุติธรรม เพื่อให้เกิดทั้งความสนุกในการแข่งขันที่ปะทะกันด้วยความสามารถอย่างแท้จริง รวมถึงทำให้เกิดการยอมรับในความเป็นเลิศด้านการกีฬาของมนุษยชาติที่มีร่วมกัน
การพัฒนากฎต่าง ๆ ในเกมส์กีฬามีการปรับเปลี่ยนอยู่บ่อยครั้ง เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายสุดท้าย ที่กีฬาจะแข่งขันกันอย่างยุติธรรมและนำพามาซึ่งความสนุกสนาม การยอมรับในกันและกัน ทั้งในฐานะผู้แพ้และยินดีกับชัยชนะที่คู่ควร เพื่อให้กีฬากลายเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงผู้คนเข้าไว้ด้วยกันนั่นเอง
อ้างอิง
The Trans Athletes Who Changed the Olympics-in 1936
Testing sex and gender in sports; reinventing, reimagining and reconstructing histories
Sex verification in sports
“Because They Have Muscles, Big Ones”: Cold War Gender Norms and International Sport, 1952–1967