หลังจากที่เครื่องบิน “Boeing 737-MAX” ถูกระงับการบินเหนือน่านฟ้าทั่วโลกจากการตกของเครื่องบินรุ่น Boeing 737-MAX-9 จำนวนสองลำในเวลาไล่เลี่ยกันและจากสาเหตุเดียวกันในต้นปี 2024 เครื่องรุ่นเดิมนี้ก็พบกับวิกฤติศรัทธาครั้งใหม่ภายหลังจากเที่ยวบินของ Alaska Airline ผนังของเครื่องบินหลุดออกจากเครื่องบินขณะบินอยู่บนท้องฟ้า ถึงแม้จะไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งล่าสุด แต่วิกฤติศรัทธาของ Boeing กับวิบากกรรมของเครื่อง 737-MAX รุ่นใหม่เหมือนจะไม่หมดลงง่าย ๆ
ภายหลังจากการตกของเครื่องบิน Boeing 737-MAX-9 ของสายการบิน Lion Air และ Ethiopian Airlines เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ส่งผลทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 346 คนจากเครื่องบินรุ่นเดียวกัน จากสาเหตุเดียวกัน คือระบบควบคุมการบินอัตโนมัติ หรือ MCAS (Maneuvering Characteristics Augmentation System) สั่งการผิดพลาด
การตกของเครื่องบินรุ่นใหม่ ลำใหม่ ภายในระยะเวลาห่างจากเหตุการณ์แรกเพียง 6 เดือน และทั้งหมดเกิดจากความผิดพลาดของระบบ MCAS ส่งผลให้องค์การบริหารการบินแห่งชาติของสหรัฐฯ (Federal Aviation Administration) สั่งระงับบินของเครื่องรุ่น Boeing 737-MAX ทั่วโลกเป็นระยะเวลา 20 เดือนและสั่งให้ทาง Boeing แก้ไขระบบ MCAS และอัปโหลดระบบนี้ให้กับเครื่องบิน Boeing 737-MAX ทุกลำ
การตกของเครื่องบิน Boeing 737-MAX สร้างผลกระทบต่อศรัทธาของผู้โดยสารสายการบิน หรือแม้แต่นักบินผู้ฝึกเพื่อบังคับเครื่องบิน Boeing 737-MAX ด้วยซ้ำ จนนักบินหลาย ๆ คนกลัวการบินกับเครื่องบิน Boeing 737-MAX ไปเลย
ปัญหาของระบบ MCAS ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญการตกของทั้งสองเที่ยวบิน เกิดจากการพยายามทำการแข่งขันกับ Airbus ของ Boeing เอง เพื่อแย่งชิงตลาดของเครื่องบินลำตัวแคบพิสัยการบินใกล้มาจาก Airbus
ภายหลังการเปิดตัวเครื่องบิน Airbus A320 neo ซึ่งเป็นเครื่องบินลำตัวแคบพิสัยการบินใกล้รุ่นใหม่ของทาง Airbus เครื่อง Airbus A320 รุ่นเดิมนั้นได้รับการปรับปรุงใหม่ในหลาย ๆ ส่วนทั้งการปรับปรุงห้องโดยสารและเครื่องยนต์ของเครื่องบินเป็นเครื่องยนต์รุ่นใหม่ ที่มีขนาดใหญ่และประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงที่ดีขึ้นกว่าเดิม เพื่อตอบโจทย์การลดค่าเชื้อเพลิงซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายสำคัญของธุรกิจสายการบิน โดยทั้งหมดเกิดขึ้นภายใต้โครงเครื่องขนาดเดิม ทำให้เครื่องบิน Airbus A320 neo ได้รับยอดสั่งจองเครื่องบินจากสายการบินต่าง ๆ สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์
ทาง Boeing ซึ่งกำลังพัฒนาเครื่องบิน Boeing 787 อยู่นั้น ทางบอร์ดบริหารจึงสั่งให้พัฒนาเครื่องบิน Boeing 737 ที่มีอยู่เดิมให้เหมือนกับการพัฒนาของ Airbus ที่ได้ดำเนินการปรับปรุงทั้งห้องโดยสารแบบใหม่และเครื่องยนต์รุ่นใหม่ที่ประหยัดเชื้อเพลิงมากยิ่งขึ้น แต่ปัญหาของเครื่องบิน Boeing 737 คือเครื่องบินนั้นถูกออกแบบขึ้นมาบนแนวคิดการปฏิบัติงานภาคพื้นซ่อมบำรุงให้ง่ายที่สุด ตัวเครื่องจึงถูกออกแบบให้เตี้ย มีระยะห่างของปีกถึงพื้นใกล้มากเมื่อเทียบกับเครื่อง Airbus A320 ซึ่งถึงแม้เครื่องบินรุ่นนี้จะเตี้ย แต่สิ่งนั้นไม่เป็นปัญหาเพราะเครื่องยนต์ช่วงที่เครื่อง Boeing 737 เริ่มทำการพัฒนานั้นมีขนาดเล็กกว่าทุกวันนี้มาก
เครื่องบิน Boeing 737 ถูกพัฒนาให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในช่วงเวลาต่าง ๆ จากเครื่อง Boeing 737 ต่อมาได้ต่อยอดเป็น Boeing 737 Next Generation ที่มีการติดตั้งเครื่องยนต์เจ็ตขนาดใหญ่ใต้ปีกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงที่ดีขึ้นและรองรับผู้โดยสารได้มากขึ้น จน Boeing 737-800 Next Generation ได้กลายเป็นหนึ่งในเครื่องบินที่ขายดีที่สุดในโลกรุ่นหนึ่ง
เพื่อเป็นการตอบโต้การมาของเครื่องบิน Airbus A320 neo รุ่นใหม่ ทาง Boeing ไม่มีเวลามากพอสำหรับการออกแบบเครื่องบินรุ่นใหม่ตั้งแต่เริ่ม พวกเขาจึงเลือกใช้โครงเครื่องบินเก่าอายุร่วม 50 ปีมาติดตั้งเครื่องยนต์ขนาดใหญ่รุ่นใหม่ใต้ปีกเครื่องบินโบราณลำนี้ แต่ความเตี้ยของเครื่อง Boeing 737 เป็นปัญหา เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ที่ติดตั้งใต้ปีกด้วยวิธีการติดตั้งปกติ เมื่อทำการลงจอดอาจจะทำให้เครื่องยนต์กระแทกหรือเสียดสีกับพื้น ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายได้ ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกยกเครื่องยนต์ให้สูงขึ้นอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีกของเครื่องบิน เพื่อที่จะสามารถติดตั้งเครื่องยนต์ขนาดใหญ่รุ่นใหม่เข้าไปได้
การติดตั้งเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ด้วยวิธีการยกเครื่องยนต์ให้สูงเท่ากับระดับปีกได้กลายเป็นปัญหาทับซ้อนขึ้นมาอีกชั้น เพราะมันจะส่งผลทำให้อากาศพลศาสตร์ของปีกมีการเปลี่ยน กำลังยกของปีกเกิดการสูญเสียได้ และทำให้เกิดการร่วงหล่นของเครื่องบิน ทางแก้ไขของ Boeing คือการเพิ่มระบบที่เรียกว่า MCAS เพื่อทำการแทรกแซงการควบคุมของเครื่องบินเพื่อป้องกันสถานการณ์การร่วงหล่นจากการสูญเสียกำลังยกกลางอากาศ
การแก้ปัญหาด้วย MCAS ของ Boeing เหมือนจะดี แต่กลายเป็นว่าองค์การบริหารการบินของสหรัฐฯ ที่อนุมัติให้เครื่องบิน Boeing 737-MAX นี้จำหน่ายได้ไม่เคยทราบมาก่อนการตกของเครื่องบินทั้งสองลำว่ามีระบบนี้มาก่อน นอกจากนี้ Boeing พยายามซ่อนการมีอยู่ของระบบนี้กับนักบิน แม้แต่คู่มือเล่มหนาของเครื่องบินลำนี้ก็ไม่เคยบอกถึงการมีอยู่ของระบบนี้ ทาง Boeing บอกเพียงว่านักบินผู้มีประสบการณ์การบินกับเครื่อง Boeing 737 Next Generation รุ่นเก่ามาก่อนสามารถเรียนรู้การบินกับเครื่องบิน Boeing 737-MAX รุ่นใหม่ได้เลย เพียงแค่ทำการเรียนเพิ่มเติมผ่านทางแอปพลิเคชันบนแท็บเล็ตเท่านั้น และไม่จำเป็นต้องฝึกกับเครื่องจำลองการบิน
การพยายามปิดบังการมีอยู่ของระบบ MCAS ทำให้เกิดอุบัติเหตุซึ่งทำให้ 346 ชีวิตต้องสูญเสียไป นับว่าเป็นการกระทำที่ไม่น่าให้อภัยของทาง Boeing เป็นอย่างมาก และถึงแม้หลังจากเดือนพฤศจิกายน 2020 จะครบกำหนดคำสั่งระงับการบิน 20 เดือนของเครื่อง Boeing 737-MAX แล้วก็ตาม แต่หลายสายการบินยังคงไม่ไว้ใจในเครื่องลำนี้อยู่ดี
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2024 เครื่องบิน Boeing 737-MAX 9 รุ่นเจ้าปัญหารุ่นเดิม ผนังของตัวเครื่องบินหลุดออกจากตัวเครื่องบินขณะทำการบินขึ้น ส่งผลให้เครื่องบินต้องลงจอดฉุกเฉินทันที ถึงแม้เหตุการณ์ในครั้งนี้จะไม่มีผู้เสียชีวิต แต่มันก็เป็นผีที่กลับมาหลอกหลอนทุกคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมการบินและผู้โดยสารทุกคนอีกครั้ง
เครื่องบิน Boeing 737-MAX 9 ทั้งหมดในสหรัฐอเมริกาถูกองค์การบริหารการบินสหรัฐฯ ระงับการบินขึ้นโดยทันทีจนกว่าทางคณะกรรมการความปลอดภัยการขนส่งแห่งชาติ และ Boeing จะหาคำตอบของอุบัติเหตุในครั้งนี้ได้
ปัญหาในครั้งนี้ได้รับการตรวจสอบแล้วพบว่าเกิดจากผนังอุดช่องประตูหลุดออกจากตัวเครื่องบินเนื่องจากการติดตั้งที่ไม่สมบูรณ์ โดยเครื่องบิน Boeing 737-MAX 9 นี้ทาง Boeing จะให้ผู้ผลิตรายย่อยทำการสร้างโครงของเครื่องบินตามแบบเพื่อลดต้นทุนการผลิตให้ได้มากที่สุด พวกเขาใช้แม่แบบของโครงเครื่องบินแบบเดียวกันทั้งหมด คือมีประตูทางออกทั้งหมด 10 บาน แต่ทาง Boeing จะให้ทางบริษัทสายการบินเลือกว่าจะต้องการประตูทางออกทั้งหมด 10 บานเพื่อใช้เป็นทางออกฉุกเฉินหรือไม่ หรือต้องการเพียง 8 บาน หากต้องการแค่ 8 บาน พวกเขาจะปิดช่องสำหรับการติดตั้งประตูด้วยผนังอุดช่องประตูแทน ที่นั่งผู้โดยสารจะถูกเพิ่มอีก 1 แถว ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นไปตามกฎด้านความปลอดภัยของ FAA สหรัฐฯ
ทั้งหมดเหมือนจะเป็นไปได้ด้วยดี สายการบินได้แถวที่นั่งผู้โดยสารเพิ่มขึ้นมาอีก 1 แถว ผู้ผลิตเครื่องบินอย่าง Boeing ได้ลดต้นทุนการผลิตลงอีกเช่นเคย เพียงแต่ในรอบนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจากผนังปิดช่องประตูติดตั้งไม่สมบูรณ์
การตรวจสอบของพวกเขาพบว่าปัญหาที่ผนังปิดช่องประตูหลุดออกมาจากเครื่องบินขณะทำการบินขึ้นนั้นเกิดจากผนังไม่สามารถทนแรงดันอากาศได้ เนื่องจากสกรูและน็อตขันไม่แน่น ซึ่งภายหลังจากการพบข้อสังเกตนี้ ทางสายการบิน United Airlines และ Alaska Airlines ได้นำทีมวิศวกรตรวจสอบสกรูที่ถูกขันบริเวณผนังปิดช่องประตูว่าเรียบร้อยดีหรือไม่ ก่อนจะพบว่ามีเครื่องบินจำนวนมากที่สกรูขันไม่แน่นหนาเพียงพอ ถึงขณะนี้ทาง United Airlines และ Alaska Airlines ยังไม่ได้ออกมาให้ข่าวถึงจำนวนเครื่องบินที่ติดตั้งผนังปิดช่องประตูไม่สมบูรณ์ แต่ทั้งสองบริษัทไม่พอใจการกระทำของ Boeing เป็นอย่างมาก เสมือนพวกเขาได้รับเครื่องบินที่มีตำหนิมาจาก Boeing ตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตของโรงงาน
ปัญหาการติดตั้งที่ไม่สมบูรณ์นี้ หลายสื่อคาดการณ์ว่ามาจากการลดการจ้างงานครั้งใหญ่ของ Boeing ตั้งแต่ช่วงปี 2019 ซึ่งรวมถึงการลดจำนวนการจ้างงานสายควบคุมคุณภาพของสายงานด้านการผลิตลง และแทนที่ด้วยการใช้เครื่องจักรในการประกอบเครื่องบินเพื่อทดแทนกำลังแรงงาน โดยทางกลุ่มผู้บริหารของ Boeing ในเวลานั้นอ้างว่าการลดแรงงานในภาคการผลิตลงจะไม่ส่งผลกระทบกับคุณภาพของเครื่องบินจากโรงงานการผลิต แต่ในช่วงระยะหลังมานี้ดูเหมือนผลลัพธ์ของการใช้แรงงานหุ่นยนต์จะได้ผลไม่เหมือนกับที่ทางกลุ่มผู้บริหารอ้างไว้ เพราะมีข่าวออกมาว่าทาง Boeing กำลังจะว่าจ้างแรงงานในการผลิตเครื่องบินเพิ่มอีกครั้งภายหลังหุ่นยนต์ไม่สามารถตอบโจทย์การประกอบเครื่องบินของพวกเขาได้
เครื่องบินมีสกรูและน็อตรวมกันมากกว่าแสนจุด ซึ่งการใช้หุ่นยนต์สามารถช่วยลดงานที่ซ้ำซ้อนและน่าเบื่อที่มนุษย์ต้องทำบนเครื่องบินลำหนึ่งได้จริง เพียงแต่ว่าทาง Boeing พบว่าการเปลี่ยนมาใช้หุ่นยนต์ทำงานขันสกรูได้ไม่ได้ดีเท่าที่คิด สกรูบางตำแหน่งขันได้ไม่แน่นเหมือนดังที่ได้ตั้งโปรแกรมไว้ ซึ่งทำให้ต้องเสียเวลามนุษย์ที่ทำงาน QC กลับมานั่งเช็กสกรูทีละตำแหน่งและปิดงานเหล่านี้ให้เสร็จ ซึ่งเป็นการเสียเวลาสองต่อ ทั้งที่หากใช้มนุษย์ขันสกรูเหล่านี้ ก็คงเสร็จตั้งแต่แรก ไม่ต้องเสียเวลาทำงานสองครั้งแบบนี้
วิบากกรรมทั้งหมดของเครื่อง Boeing 737-MAX นั้นล้วนเกิดขึ้นจากการพยายามลดต้นทุนของทาง Boeing ทั้งด้านงานการออกแบบของเครื่องบิน การจ้างเหมาบริษัทผู้ผลิต การลดจำนวนแรงงาน และการลดขั้นตอนการตรวจสอบ ซึ่งทั้งหมดนั้นส่งผลต่อคุณภาพชิ้นงานที่ออกมาจากทางบริษัท Boeing ซึ่งนั่นกลายเป็นจุดด่างพร้อยของบริษัท Boeing ที่ดำเนินการมาอย่างยาวนานและกระทบต่อความเชื่อมั่นและศรัทธาของผู้บริโภคที่มีต่อบริษัท
ครั้งหนึ่งใคร ๆ ก็เชื่อมั่นที่จะบินกับ Boeing กลับกลายเป็นครั้งนี้ทุกคนเลือกที่จะหนีจากการบินกับ Boeing
เรียบเรียงโดย : จิรสิน อัศวกุล
🎧 อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech