เรื่องราวข่าวสารของคนดังไม่เคยห่างหายไปจากสังคม เรื่องราวส่วนตัวไม่ว่าจะเป็นข่าวฉาว ข่าวลือ เรื่องซุบซิบนินทาล้วนกลายเป็นประเด็นข่าวใหญ่ที่เป็นกระแสได้ในชั่วข้ามคืน
เหตุใดเรื่องเหล่านี้จึงกลายเป็นข่าวใหญ่ที่สังคมทั้งต่างติดตามอย่างตามติด
Thai PBS ขอชวนทุกคนมาเข้าใจเบื้องหลังเรื่องซุบซิบนินทา ข่าวฉาวของคนดัง ผ่านงานวิจัยและแนวคิดด้านจิตวิทยา เพราะอะไรเราจึงพูดถึง ถกเถียงและติดตามข่าวแนวนี้ชนิดอดตาหลับขับตานอน และหลายครั้งก็ละเลยประเด็นข่าวที่น่าจะมีเนื้อหาสาระกับชีวิตมากกว่า
1. เพราะเราต่างอยากเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
ข่าวฉาวอาจรวมไปถึงเรื่องซุบซิบนินทาถือเป็นข่าวสารอย่างหนึ่งที่ผู้คนให้ความสนใจ ในแง่หนึ่งข่าวลักษณะนี้มักจะมีประเด็นให้ถกเถียง ทั้งประเด็นทางสังคมที่เกิดขึ้น รวมไปถึงเรื่องราวอื่น ๆ ทั้งการเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งของเรื่องราวหากมีปมขัดแย้ง หลายครั้งการพูดคุยเกี่ยวกับข่าวฉาวจึงดูจะเป็นประเด็นร้อนแรง
แต่แท้จริงแล้วในชีวิตประจำวันของเรา เราพูดถึงถึงเรื่องซุบซิบของคนดังกันอย่างจริงจังร้อนแรงหรือไม่ ?
บทความวิชาการที่ตีพิมพ์ในวารสารด้านจิตวิทยา Social and Psychological Personality Science พบว่า ผู้คนส่วนใหญ่พูดคุยกันถึงข่าวฉาวเพียงเพื่ออัปเดตข่าวสารความเป็นไปของโลกเฉย ๆ ส่วนมากแล้วการพูดคุยไม่ได้มีการถกเถียงแง่ลบหรือบวกมากนัก โดยมักจะมีความคิดเห็นออกไปทางกลาง ๆ เสียมากกว่า
ทั้งนี้ David Ludden ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาจาก Georgia Gwinnett College วิเคราะห์ว่า มนุษย์ถือเป็นสัตว์สังคม การรับรู้แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง รวมถึงข่าวสารของคนดังด้วย โดยการแลกเปลี่ยนหรือพูดถึงข่าวเหล่านี้ถือเป็นการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมรูปแบบหนึ่ง และยิ่งเมื่อเราอยากปฏิสัมพันธ์ต่อกัน เราจึงยิ่งอยากรู้ข้อมูลเกี่ยวกับข่าวเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น
2. เพราะข่าวฉาวเต็มไปด้วยข้อถกเถียงถึงความเชื่อและค่านิยมที่ใกล้ตัว
ประเด็นข่าวฉาวมักมีปมขัดแย้งในแง่ลบที่เหล่าคนดังได้ทำบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้ผู้คนเกิดข้อถกเถียง สมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (American Psychological Association - APA) จึงได้นิยามความหมายของ Gossip หรือเรื่องซุบซิบนินทาไว้ว่า คือข่าวสารที่ผู้คนสื่อสารกันซึ่งอาจมีเนื้อหาที่อื้อฉาวหรือเป็นเรื่องที่ดูอันตราย เป็นจุดสนใจ โดยการซุบซิบนินทางส่งผลให้เกิดการรวมกลุ่มของผู้คน และยังมีความหมายต่อการเปลี่ยนผ่านของบรรทัดฐานในสังคมอีกด้วย
เมื่อพิจารณาจากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ความคิดเห็นของผู้คนในสังคมสามารถสะท้อนผ่านโซเชียลมีเดียได้มากขึ้น การถกเถียงในพื้นที่เหล่านี้ส่วนนึงทำให้เห็นถึงบรรทัดฐานบางอย่างของสังคมที่เปลี่ยนไปต่อการกระทำของเหล่าคนดัง ความเห็นและท่าทีของสังคมที่เปลี่ยนไป ไม่มากก็น้อยได้ส่งผลต่อบรรทัดฐานทางสังคมในภาพรวม
บทความวิชาการจาก “วารสารสหศาสตร์” มหาวิทยาลัยมหิดล วิเคราะห์ถึงภาพลักษณ์ของดาราที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับในสังคมถือเป็นภาพสะท้อนตัวแทนมายาคติในสังคมนั้น ๆ สรุปง่าย ๆ ก็คือภาพลักษณ์ของดาราเป็นอย่างไร ก็มาจากสังคมต้องการเห็นภาพ และกลายเป็นภาพนั้น
ซึ่งอาจรวมถึงการเห็นตัวตนของตัวเองในภาพลักษณะของดาราเหล่านั้นไปด้วยโดยไม่รู้ตัว ดังนั้น ในแง่มุมนี้การเสพข่าวฉาวจึงมีประโยชน์ในทางอ้อมที่ผู้คนจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับค่านิยมของสังคมที่ตนเองใช้ชีวิตอยู่ เพื่อมองย้อนถึงตัวเองและนำมาปรับใช้กับชีวิตส่วนตัวของตนเองมากขึ้น
3. เพราะข่าวฉาวด้านลบของคนดังช่วยให้เรารู้สึกดีกับชีวิต
เรื่องซุบซิบนินทาหลายครั้งเป็นเรื่องแง่ลบของคนดัง สาเหตุหนึ่งที่เราชอบเสพข่าวและพูดถึงข่าวเหล่านี้อาจเป็นด้านมืดของมนุษย์ นั่นคือข่าวเหล่านั้นทำให้ผู้คนรู้สึกว่าชีวิตของตัวเองดีกว่าผู้ที่ตกเป็นข่าว ซึ่งเป็นความเห็นของ Stephen Benning ผู้ช่วยศาสตรจาย์ด้านจิตวิทยาจาก University of Nevada ทั้งนี้ การสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองด้วยวิธีนี้ก็ไม่ใช่หนทางที่ดีและยั่งยืนนัก
ขณะที่ Britt Frank นักจิตบำบัดจาก มองว่า ข่าวซุบซิบคนดังนั้นช่วยลดความเครียดจากชีวิตของตัวเอง เป็นวิธีพักผ่อนจากเรื่องราวในชีวิตจริงอย่างหนึ่ง นอกจากนี้การแบ่งปันพูดคุยเรื่องส่วนตัวของคนดังยังช่วยให้รู้สึกปลอดภัยกว่าการพูดคุยถึงเรื่องส่วนตัวของตัวเองอีกด้วย
4. เพราะคนดังคือคนสนิท(เสมือน)ของเราด้วย
แม้เราจะไม่เคยพบเจอหรือรู้จักเป็นการส่วนตัวกับเหล่าคนดัง แต่เรากลับสามารถที่จะมีความรู้สึกว่าเรามีความสัมพันธ์กับบุคคลเหล่านั้นได้ ปรากฏการณ์นี้เรียกกันว่า Parasocial Relationships หรือ ความสัมพันธ์แบบกึ่งมีส่วนร่วมทางสังคม คือความสัมพันธ์ที่ผู้คนมีต่อคนในสื่อเป็นความผูกพันธ์มีความรู้สึกร่วมด้วย โดยมีการศึกษาแนวคิดนี้มาตั้งแต่ช่วงปี 1956
David Ludden นักจิตวิทยาคนเดิมมองว่า ความรู้สึกเชื่อมโยงกับคนดังลักษณะนี้ช่วยให้ผู้คนเชื่อมโยงถึงกัน ทว่าในทางกลับกันการรู้สึกเชื่อมโยงกับคนดังหรือคนที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์กันในชีวิตจริงมากเกินไปก็ให้ผลที่ตรงกันข้ามได้ หรือก็คือความสัมพันธ์ที่มีต่อคนดังเข้ามาทำลายความสัมพันธ์กับผู้คนในชีวิตจริงแทน
5. เพราะเราอยากนินทาว่าร้ายคนที่ตกเป็นข่าว
เราอาจเข้าใจกันว่าข่าวฉาวมาพร้อมการซุบซิบนินทาที่ผู้คนมักพูดถึงคนที่ตกเป็นข่าวในทางเสียหาย ทว่างานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการด้านจิตวิทยา Frontiers in Psychology ในปี 2019 ได้ทำความเข้าใจแรงจูงใจในการซุบซิบนินทา พบว่าแรงจูงใจส่งผลให้เกิดพฤติกรรมมากที่สุดอับดันหนึ่งคือการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ขณะแรงจูงใจอับดันสองได้แก่ การยืนยันข้อมูลที่เกิดขึ้น
แรงจูงใจจากการอยากนินทาว่าร้ายผู้ตกเป็นข่าวนั้นถือเป็นแรงจูงใจหลักของคนส่วนน้อยที่สุด กระนั้นก็ถือเป็นแรงจูงใจแรก ๆ ที่ก่อให้เกิดเรื่องซุบซิบนินทาทั้งหมดขึ้น โดยแรงจูงใจลักษณะนี้จะมีขึ้นเพื่อชักจูงให้คนอื่นรู้สึกคล้อยตาม และมองผู้ที่ถูกนินทาไปในทางร้าย
อย่างไรก็ตาม ในงานวิจัยเดียวกันได้ทำแบบทดสอบบุคลิกด้านมืด (Dark triad) 3 ด้าน ซึ่งเป็นการจำแนกบุคลิกที่ควรหลีกเลี่ยงตามแนวคิดจิตวิทยา ได้แก่ บุคลิกหลงตัวเอง (narcissism) เจ้าเล่ห์ (Machiavellianism) และไม่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น (Psychopathy) พบว่า ส่วนสำคัญของแรงจูงใจในการซิบซุบข่าวเหล่านี้ขึ้นอยู่กับบุคลิกหลงตัวเองในด้านหน้าที่การงานและชีวิตส่วนตัวด้วย
เหตุผลที่เราต่างพูดคุยเสพข่าวคนดังยังมีแยกย่อยอีกหลายข้อ เช่น เพื่อความสนุกทางสังคม หรือเพื่อป้องกันภัยทางสังคม (จากค่านิยมไม่พึงประสงค์) แม้หลายเหตุผลจะดูเป็นไปตามธรรมชาติของมนุษย์ ทว่าความอยากรู้อยากเห็นในข่าวเหล่านี้ก็มีแง่ลบที่สร้างความเสียหายได้
เพราะข่าวคนดังสามารถดึงกระแสความสนใจของทั้งสังคมได้ ธรรมชาติของมนุษย์ที่สนใจไคล่รู้ในเรื่องราวของดาราคนดังจึงมีด้านที่เราควรรู้เท่าทัน และตระหนักถึงความสำคัญว่า แท้จริงแล้ว...ความสนใจในประเด็นข่าวของทุกคนสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงของสังคม
อ้างอิงเนื้อหา
Why We Care So Much About Celebrity Gossip, According to Psychology
บทความวิชาการ : โลกทางสังคมและสัญญะของดาราดัง
Why People Gossip: An Empirical Analysis of Social Motives, Antecedents, and Consequences
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
รู้เท่าทันสื่อ : เสพข่าวดราม่ามีผลต่อสุขภาพจิตอย่างไร