"เหมือนดาวเคราะห์ แต่ไม่ใช่ดาวเคราะห์" มีรูปร่างเป็นทรงกลม มีดวงจันทร์บริวาร โคจรรอบดวงอาทิตย์ แต่ดาวพลูโต ก็ยังไม่ใช่ดาวเคราะห์อยู่ดี
ในปี ค.ศ. 1930 ไคลด์ ทอมบอก์ นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกัน ผู้คลั่งไคล้การจ้องมองฟากฟ้า ได้ค้นพบดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่อยู่ไกลลิบในระบบสุริยะ ดาวเคราะห์ดวงนั้น ได้รับการตั้งชื่อว่า พลูโต เป็นชื่อของเทพเจ้าแห่งยมโลก
ตั้งแต่เริ่มค้นพบ พลูโตก็เต็มไปด้วยความลับ และความแปลกประหลาด…
ดาวพลูโตยากแก่การศึกษา เพราะระยะทางที่ไกลเกินกว่าจะเก็บข้อมูลได้ เรื่องราวของมันเท่าที่มนุษยชาติรับรู้ได้คือการคำนวนวงโคจรของดาวเท่านั้น กระทั่งในปี 1978 เจมส์ คริสตี นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกัน ได้ค้นพบว่า พลูโตมีดวงจันทร์บริวาร ดวงจันทร์นั้นถูกตั้งชื่อว่า Charon อันเป็นชื่อของชายผู้พายเรือส่งวิญญาณข้ามแม่น้ำในยมโลก การค้นพบ Charon ทำให้มนุษยชาติสามารถหามวลของดาวพลูโตได้ในที่สุด
ซึ่งนั่นก็ทำให้ได้รู้ว่าดาวพลูโต มีมวลเพียง 0.04 เท่า ของดาวพุธ หรือถ้าเทียบกับดวงจันทร์ของโลก พลูโตมีมวลเพียง 0.2 เท่า เท่านั้น นับเป็นดาวที่มีมวลน้อยมาก แต่ดาวเคราะห์ที่ดวงเล็กขนาดนี้ ก็ยังมีดาวบริวารของตัวเองได้
ที่แปลกมากไปกว่านั้น คือดวงจันทร์ Charon กลับมีขนาดใหญ่กว่าครึ่งหนึ่งของดาวพลูโตเสียอีก ซึ่งผิดปกติของดาวบริวารทั่วไป ที่ต้องมีขนาดเล็กกว่าดาวเคราะห์ นอกจากนี้ วงโคจรของดาวพลูโต ก็มีบางช่วง ที่ไปทับกับวงโคจรของดาวเนปจูนอีกด้วย
และพลูโตยังมีเรื่องพิลึกหนักมากกว่านี้…
ดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ ในระบบสุริยะ จะมีวงโคจรที่อยู่ในระนาบเดียวกัน เรียกว่าระนาบ Ecliptic แต่พลูโตกลับมีองศาการโคจรที่เอียงจากระนาบนี้ถึง 17 องศา ที่ถ้าหากมองไกล ๆ จากระบบสุริยะ เราจะมองเห็นดาวพลูโตหมุนระเกะระกะ ท่ามกลางดาวเคราะห์อื่นที่โคจรอย่างเป็นระเบียบ
ดาวพลูโตถูกนับเป็น 1 ในดาวเคราะห์ทั้ง 9 ของระบบสุริยะมาตลอด จนกระทั่ง ในปี 2006 สหพันธ์ดาราศาสตร์สากล ได้กำหนดนิยามของดาวเคราะห์ใหม่คือ
- ดาวเคราะห์จะต้องโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นหลัก
- มีมวลมากพอที่จะดึงรูปร่างให้เป็นทรงกลมหรือเกือบกลม
- วงโคจรต้องไม่ทับกับดาวอื่น
ด้วยนิยามในข้อหลังนี้เอง ทำให้ ดาวพลูโต ซึ่งมีวงโคจรทับกับดาวเนปจูน ไม่สามารถนับเป็นดาวเคราะห์ได้ และถูกลดสถานะให้เป็นเพียง “ดาวเคราะห์แคระ” (dwarf planet) ในระบบสุริยะของเราเท่านั้น