ทำไม? ช่วงนี้รู้สึก Hot จังเลย ที่ Hot น่ะไม่ใช่แอดมิน แต่เป็น “แดด” เมืองไทยต่างหาก ร้อนมากแม่ไม่ไหวแล้ว
เนื่องจากประเทศไทยได้รับแสงแดดที่มีความเข้มสูง โดยเฉพาะในเวลากลางวัน การอยู่ท่ามกลางแสงแดดเป็นเวลานาน อาจทำให้ผิวหนังถูกเผาไหม้ เกิดอาการปวดแสบปวดร้อน อักเสบ และมีไข้ได้
ดังนั้น เครื่องสำอางหลายชนิดในท้องตลาดจึงได้ผสมสารกันแดด เพื่อการปกป้องดูแลผิวให้สวยงามและสตรองตลอดทั้งวัน สารกันแดดในเครื่องสำอางแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่มีสมบัติสะท้อนรังสี UV และ กลุ่มที่มีสมบัติดูดซับรังสี UV
การระบุประสิทธิภาพในการป้องกันรังสียูวีของเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารกันแดด นิยมระบุด้วยค่า SPF และ ค่า PA
ค่า SPF (Sun Protection Factor) เป็นค่าระบุระดับการปกป้องผิวจากรังสียูวีบี UVB (ทำให้ผิวไหม้แดง/B=Burn) หมายถึงจำนวนเท่าของเวลาที่ผิวสามารถทนต่อรังสีอัลตราไวโอเลตได้หลังจากทาครีมกันแดด ปกติผิวคนไทยโดยเฉลี่ยจะทนรังสี UV ได้นาน 15 นาที โดยไม่เกิดอาการไหม้แดด หมายความว่า หากทาครีมกันแดด SPF10 จะสามารถป้องกันรังสี UVB ได้นาน 10 เท่า หรือ 150 นาที (สำหรับผิวคนไทยส่วนใหญ่)
ตัวอย่างค่า SPF ดูดซับ UVB
ค่า SPF เท่ากับ 2 จะดูดซับ UVB ได้ 50%
ค่า SPF เท่ากับ 4 จะดูดซับ UVB ได้ 75%
ค่า SPF เท่ากับ 8 จะดูดซับ UVB ได้ 87.5%
ค่า SPF เท่ากับ 15 จะดูดซับ UVB ได้ 93.3%
ค่า SPF เท่ากับ 20 จะดูดซับ UVB ได้ 95%
ค่า SPF เท่ากับ 30 จะดูดซับ UVB ได้ 96.7%
ค่า SPF เท่ากับ 45 จะดูดซับ UVB ได้ 97.8%
ค่า SPF เท่ากับ 50 จะดูดซับ UVB ได้ 98%
จะเห็นว่า ค่า SPF ที่สูงมาก ๆ นั้นก็ไม่จำเป็นต่อความต้องการของเรา ไม่ว่าจะใช้ SPF30 หรือ SPF100 ก็ให้ผลแทบจะไม่แตกต่างกัน แต่ถึงอย่างไรแล้ว เมื่อสารกันแดดสัมผัสเหงื่อ น้ำ แสงแดด ฯลฯ สารกันแดดก็จะเสื่อมประสิทธิภาพลงทำให้เราต้องทาซ้ำ แถมยังต้องเสี่ยงกับอาการแพ้และความเหนอะหนะจากสารกันแดดที่มีค่า SPF สูงมาก ๆ อีกด้วย
ส่วนค่า PA (Protection Grade of UVA) เป็นค่าที่ใช้วัดประสิทธิภาพของสารกันแดดที่ป้องกันรังสี UVA (ทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย/A=Aging) โดยเครื่องหมาย “+” แสดงถึง ความสามารถในการป้องกันรังสี UVA แบบเท่าตัว เช่น
PA+ สามารถป้องกันรังสี UVA 2 เท่า
PA++ สามารถป้องกันรังสี UVA 4 เท่า
PA+++ สามารถป้องกันรังสี UVA 8 เท่า
คำถามชวนคิด : แดดแรงอย่างเมืองไทย ยิ่งใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงยิ่งดี จริงหรือไม่?
ข้อควรรู้ : วิธีการใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารกันแดด ควรทาให้ทั่วใบหน้า แขน ขา และผิวกายนอกร่มผ้าอย่างสม่ำเสมอ และควรทาก่อนออกแดด 15-30 นาที ในกรณีที่ทำกิจกรรมกลางแจ้งที่มีแดดจัด ควรทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง เนื่องจากครีมกันแดดอาจถูกชะล้างด้วยเหงื่อ แต่ในกรณีที่ไม่ถูกแดด ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้เพราะอาจทำให้เกิดการสะสมสารเคมีได้
สาระ SPF กับ PA ส่งท้าย
นอกจากค่า SPF กับ PA แล้ว ต้องคำนึงถึงกิจกรรมที่เราจะทำด้วย ถ้าจะออกไปเล่นน้ำทะเลหรือทำกิจกรรมทางน้ำ ควรเลือกสารกันแดดแบบ Waterproof ที่จะรักษาค่า SPF ไว้ให้คงประสิทธิภาพเดิมหลังโดนน้ำไป 80 นาที หากว่าเราแค่โดนฝนหรือเหงื่อออกตามปกตินั้น ให้เลือกสารกันแดดแบบ Water-resistant ที่จะรักษาค่า SPF ไว้ให้คงประสิทธิภาพเดิมหลังโดนน้ำไป 40 นาที และที่กล่าวมานี้ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ฉลากบนบรรจุภัณฑ์สารกันแดดบอกให้ผู้ใช้ทาซ้ำทุก ๆ 2 ชั่วโมง
จากข้อมูลทั้งหมด หลาย ๆ คนคงตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์กันแดดได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ดี การเลือกผลิตภัณฑ์กันแดดควรเลือกให้เหมาะสมกับความจำเป็น สภาพผิว รวมถึงสภาพอากาศและกิจกรรมที่เราจะทำด้วย เพื่อประสิทธิภาพที่เพียงพอต่อความจำเป็นทั้งตัวเราและกระเป๋าเงินของเราด้วยนั่นเอง
อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS
แหล่งข้อมูลอ้างอิง : หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์กับความงาม ระดับ ม.ต้น (พิมพ์ครั้งที่ 7 พ.ศ. 2560), องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.), glowderma
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech