หลายคนมีความฝัน และหลายต่อหลายคนอยากไปให้ถึง “ฝัน” ไม่เว้นแม้แต่ชายคนนี้ “เฟรม” สิบโท ธนาคาร ไชยยาสมบัติ เขาบอกว่า ฝันของเขา คือการไป “ตูร์ เดอ ฟรองซ์” ให้ได้สักครั้งในชีวิต
ย้อนเวลากลับไปเมื่อปลายปีก่อน ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2024 ชื่อ เฟรม - ธนาคาร กลายเป็นที่รู้จัก จากการเป็นตัวแทนนักกีฬาจักรยานทีมชาติไทย “คนแรก” ในประวัติศาสตร์ ที่เข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกยุคใหม่ แม้จะไปไม่ถึงเส้นชัย ถูกตัดตัวออกในช่วง 35 กิโลเมตรสุดท้าย แต่นี่คือประสบการณ์อันล้ำค่าสำหรับเด็กหนุ่มวัย 25 ปีในเวลานั้น
ในระหว่างที่อยู่ในทัวร์นาเมนต์โอลิมปิก เฟรมยังผลิตคอนเทนต์สนุก ๆ จนทำให้เขากลายเป็นที่รู้จัก กระทั่งเมื่อกลับสู่เมืองไทย นักปั่นตัวตึงรายนี้ ถูกยกให้เป็น “อินฟลูฯ แห่งโอลิมปิก” ไปโดยปริยาย
ไม่ใช่แค่ความโด่งดัง แต่ความสามารถของเฟรมยังพัฒนาขึ้นมาเป็นลำดับ กับการแข่งขันล่าสุด “ทัวร์ ออฟ ไทยแลนด์ 2025” เฟรมเป็นหนึ่งในนักปั่นคนไทยที่ลงแข่งในครั้งนี้ด้วย ซึ่งเมื่อทัวร์นาเมนต์ครั้งก่อน เฟรมทำผลงานได้ดี จบตำแหน่งรองชนะเลิศผู้นำเวลารวม และรางวัลชนะเลิศนักกีฬาอาเซียนยอดเยี่ยม รวมทั้งรางวัลชนะเลิศประเภททีมอาเซียนอีกด้วย
Thai PBS ชวนนักปั่นตัวตึงคนนี้มาร่วมพูดคุยในหลากหลายเรื่องราว ทั้งเส้นทางการเป็นนักปั่นจักรยาน ประสบการณ์ที่ผ่านมา และเป้าหมายที่เจ้าตัวอยากไปให้ถึง ร่วมเดินทางไปบนเส้นทางของนักปั่น “เฟรม - ธนาคาร” จากบทสัมภาษณ์ต่อจากนี้กันเลย…
คุณพ่อ...โค้ชคนแรกในชีวิต
เฟรมเริ่มต้นเล่าเส้นทางการเป็นนักปั่นจักรยานของตัวเองให้ฟังว่า เขามีจักรยานเป็นของตัวเองครั้งแรกตอนอายุ 5 ขวบ แต่ผู้ที่เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดความรักความชอบใน “จักรยาน” ก็คือ คุณพ่อของเขานี่เอง
“ผมเห็นคุณพ่อ (กฤษอานันต์ ไชยยาสมบัติ) ขี่จักรยานตั้งแต่เรายังจำความไม่ได้ ตอนเด็ก ๆ เราสงสัยว่า ทำไมคุณพ่อมักจะออกจากบ้านไปพร้อมกับจักรยาน ตั้งแต่บ่าย 3-4 โมงเย็น กลับมาอีกทีก็ฟ้ามืด บางทีก็ได้แผลกลับมา หรือบางทีก็ได้โคลนกลับมา (หัวเราะ)”
“ยุคเมื่อสัก 20 ปีก่อน ผู้คนนิยมปั่นจักรยานเสือภูเขา ซึ่งคุณพ่อก็ขี่เสือภูเขาเหมือนกัน คุณพ่อขี่จริงจังถึงขั้นลงแข่งขัน บ้านเราอยู่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย คุณพ่อจะลงแข่งงานจักรยานใหญ่ ๆ ของเชียงรายเป็นประจำ เช่น งานปั่นขึ้นพระธาตุดอยตุง ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จย่าในสมัยก่อน”
เพราะมีคุณพ่อเป็นแบบอย่าง จึงทำให้เด็กชายเฟรมในวัย 5 ขวบ เริ่มสนุกกับการขี่จักรยาน กระทั่งเติบโตขึ้น เขาก็มีคุณพ่อที่เป็นโค้ชจักรยานคนแรกในชีวิต
“พ่อเป็นโค้ชที่โหดมาก” เฟรมนิยามสไตล์ความเป็นโค้ชของคุณพ่อให้ฟังด้วยรอยยิ้ม ก่อนเล่าต่อว่า การฝึกซ้อมในยุคก่อนโหดกว่าสมัยนี้ เรียกว่าซ้อมไป ต้องปาดน้ำตาไปกันเลยทีเดียว
“ปกติการซ้อมของคุณพ่อจะให้เราขี่เดี่ยวขึ้นไปบนเขา แล้วเขาจะขับรถกระบะตามไปจับเวลาตามจุดต่าง ๆ พ่อจะคอยเช็กว่า จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง เราทำเวลาได้ดีขึ้นกว่าครั้งเดิมแค่ไหน เราจะซ้อมกันอย่างนี้แทบทุกวัน แล้วมาวิเคราะห์กันในแต่ละวันว่า การขี่ของเราเป็นอย่างไร”
เฟรมเล่าต่อว่า เขามักจะขี่ขึ้นดอยตุงที่มีความสูงราว ๆ 12 กิโลเมตรอยู่เป็นประจำ หรือในบางครั้งก็ทะลุขึ้นไปบนผาที่สูงขึ้นไปอีก กินระยะทางกว่า 18 กิโลเมตร เส้นทางที่ต้องขี่ไปนั้น ทั้งสูง ทั้งชัน และโหดได้ใจสำหรับเด็กวัยไม่ถึงสิบปี
“สิ่งที่พ่อซ้อมในวันนั้น แม้ว่ามันจะดูโหดมาก แต่พอย้อนกลับไปมองดู มันคือสิ่งที่ทำให้เราเป็นได้อย่างทุกวันนี้ เฟรมกลายเป็นคนที่ขี่ขึ้นเขาได้ดี รวมทั้งยังปั่นคุมโซนได้ดี มีความทนทานในการขี่ ทักษะเหล่านี้ เราได้จากการซ้อมกับพ่อนั่นเอง”
อีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยส่งเสริมให้เฟรมมีพัฒนาการที่ “เหนือกว่า” เด็ก ๆ ที่ขี่จักรยานในรุ่นราวคราวเดียวกัน นั่นคือ การดูแลด้านโภชนาการจากคุณพ่อ ซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญที่ช่วยให้การขี่จักรยานของเขาเป็นไปได้ดียิ่งขึ้น
“เฟรมไม่รู้ว่าพ่อไปเอาความรู้หลาย ๆ อย่างมาจากไหนเหมือนกัน คือยิ่งถ้าย้อนกลับไปเมื่อสัก 20 ปีก่อน เรื่องโภชนาการยังไม่ได้กว้างขวางนัก แต่พ่อก็จะหาอาหารเสริมมาให้กิน เช่น โปรตีน หรือไม่ก็จะเสริมทักษะอื่น ๆ นอกเหนือจากการปั่นจักรยาน เช่น การไปวิ่ง ไปว่ายน้ำ หรือการ bodyweight เรารูสึกว่าเขาค่อนข้างล้ำ สำหรับคนในยุคนั้น มันจึงไม่น่าแปลกใจที่ทำให้เราค่อนข้างโดดเด่นกว่าคนในวัยเดียวกัน”
ซ้อมหนัก...เดินหน้าสู่การล่ารางวัล
หลังจากเริ่มขี่จักรยาน และมีคุณพ่อเป็นโค้ชคนแรกในชีวิต เฟรมมีโอกาสเข้าแข่งขันจักรยานในละแวกบ้านที่เชียงราย กระทั่งตอนอายุ 11 ปี แชมป์แรกก็มาถึงในชีวิต แถมวินาทีที่คว้าชัยชนะ ยังเป็นความรู้สึกที่เขาชัดเจนแล้วว่า กีฬาจักรยานนี่ล่ะ คือที่สุดในชีวิต
“ได้แชมป์ครั้งแรกตอนอายุ 11 ปี จำได้ว่าแบกอายุด้วยตอนนั้น เราลงแข่งรุ่นอายุไม่เกิน 13 ปี แต่ตอนนั้นเราอายุแค่ 11 ปี แต่ก็สามารถเข้าเส้นชัยเป็นที่หนึ่งได้"
ความรู้สึกของการชนะในการแข่งขันจักรยานมันเป็นอะไรที่พิเศษ สำหรับเฟรมมันพิเศษกว่ากีฬาประเภทอื่น ๆ เพราะเป็นกีฬาที่คนลงแข่งเป็นร้อยคน และเราเข้าเส้นชัยคนแรกได้ มันเป็นอารมณ์ที่สุดยอดมาก ๆ สุดยอดที่สุดในโลก
จากบรรยากาศที่ได้แชมป์ และความรู้สึกดีที่พาจักรยานเข้าเส้นชัย ทำให้เฟรมเดินหน้าไล่ล่าคว้ารางวัลในการแข่งขันจักรยานเรื่อยมา จนความสามารถไปเข้าตา “โค้ชเปี๊ยก” (ไพโรจน์ อินต๊ะปัญญา) ผู้ฝึกสอนอีกหนึ่งคนที่เข้ามายกระดับให้เขากลายเป็นนักปั่นจักรยานที่แกร่งขึ้น
“ตอนอายุ 15 ปี ผมย้ายเข้ามาเรียนโรงเรียนประจำจังหวัด ทำให้เจอโค้ชเปี๊ยก ซึ่งจริง ๆ โค้ชเปี๊ยกเห็นผมมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว เพราะโค้ชเปี๊ยกเปิดร้านจักรยานเมาเทนไบค์ คุณพ่อชอบพาผมมาซื้อของที่ร้านโค้ชเปี๊ยกตั้งแต่เรายังจำความไม่ได้”
“พอได้เริ่มเข้ามาซ้อมกับโค้ชเปี๊ยก และกับพี่ ๆ ในทีม กิจวัตรหลังจากเลิกเรียน คือมารวมตัวกันที่ร้านเมาเทนไบค์ของโค้ชเปี๊ยก จากนั้นก็เปลี่ยนชุดแล้วก็ออกไปปั่นจักรยานซ้อม โดยมีโค้ชเปี๊ยกขี่มอเตอร์ไซค์ควบคุมเกือบทุกวัน”
“ด้วยความที่บ้านผมอยู่อำเภอแม่สอด แต่โรงเรียนอยู่ในอำเภอเมือง ห่างกันราว ๆ 60 กิโลเมตร ดังนั้น หลังจากซ้อมเสร็จ ผมต้องนั่งรถบัสกลับบ้านทุกวัน กิจวัตรอีกอย่างที่ต้องทำให้ได้ทุกวันคือ ผมต้องปั่นจักรยานกลับจากซ้อมเพื่อมาให้ถึงร้านโค้ชเปี๊ยกเวลาประมาณ 6 โมงครึ่ง เพราะรถบัสจะวิ่งผ่านมาถึงหน้าร้าน 6 โมง 38 นาที ถ้าเลยกว่านั้น ต้องหารถกลับบ้านเอง แล้วยังไงก็ต้องกลับบ้าน เพราะพ่อไม่ยอมให้นอนค้างในเมืองเด็ดขาด ดึกแค่ไหนก็ต้องกลับ เพราะกลัวเราเถลไถล”
“ตอนนั้นก็ไม่เข้าใจพ่อ เคยมีเถียงกันบ้าง ทำไมพ่อถึงไม่ยอมปล่อยเราเลย แต่พอมาถึงวันนี้ เราเข้าใจแล้ว ที่เขาทำแบบนั้น เพราะผมเริ่มดื้อ เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ พ่อเลยเข้มงวดมาก ถ้าพ่อไม่ทำแบบนี้ เราอาจไม่มาเป็นแบบนี้ก็ได้”
เฟรมเล่าต่อมาว่า การซ้อมกับโค้ชเปี๊ยก ทำให้เขามีพัฒนามากขึ้น ประกอบกับ โค้ชเปี๊ยกตัดสินใจให้เขาเปลี่ยนแนวจากขี่จักรยานเสือภูเขา มาเป็นจักรยานเสือหมอบ ทำให้การขี่ของเฟรมชัดเจนขึ้น และเริ่มไล่ล่ารางวัลจนเป็นที่จับตา
“ตอนแรกขี่เสือภูเขามาตลอด แต่พอถึงจุดหนึ่ง โค้ชเปี๊ยกบอกว่า ในอนาคตจักรยานเสือภูเขาน่าจะมีความนิยมน้อยลง และอาจจะไปไม่ได้ไกลเท่าเสือหมอบ แม้ตอนนั้นในเมืองไทยอาจจะยังไม่นิยม แต่ในต่างประเทศเป็นที่นิยมอย่างมาก โค้ชเปี๊ยกบอกกับเราว่า ถึงเวลาที่เฟรมจะต้องเลิกขี่เสือภูเขา แล้วมาขี่เสือหมอบ แข่งทางเรียบอย่างเดียว”
“ปีต่อมา เฟรมได้เป็นแชมป์เยาวชนประเทศไทย ทั้งประเภท Time Trial และประเภท Road Race แถมยังมาได้เหรียญทองแดงในการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติอีกด้วย ซึ่งที่หนึ่งเป็นตัวเยาวชนทีมชาติ ที่สองก็ตัวเยาวชนทีมชาติ ส่วนเราเป็นเยาวชนเชียงราย (หัวเราะ) คือโนเนมมาก ไม่มีใครรู้จักเราเลย แต่เป็นม้ามืดที่ขึ้นมาได้เหรียญทองแดงในรายการนั้น”
คำว่า “ทีมชาติ” ไม่มีคำว่า “ง่าย”
จากการทำผลงานดีอย่างต่อเนื่อง ทำให้เฟรมได้รับโอกาสเข้าสู่การเป็นนักกีฬาทีมชาติรุ่นเยาวชน และเข้าสู่การดูแลของโค้ชตั้ม (วิสุทธิ์ กสิยะพัท) ซึ่งเป็นโค้ชทีมชาติ ณ ขณะนั้น จากเวทีภูมิภาค ก้าวสู่เวทีระดับชาติ เฟรมบอกว่า แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มากไปกว่านั้น ยังทำให้เขาเปิดโลกทัศน์ และทำให้ได้รู้ว่า คนเก่งบนโลกนี้ยังมีอยู่มากมาย
“ติดทีมชาติครั้งแรกตอนอายุ 17 ปี พอติดปุ๊บ เขาส่งตัวไปศูนย์ฝึกจักรยานโลกที่เกาหลีใต้ทันที ในเวลาเดือนครึ่งที่เราได้ไปฝึกซ้อมที่นั่น เราได้ประสบการณ์เยอะมาก ทั้งเรื่องระเบียบวินัย เทคนิกการแข่ง เรื่องอาหารการกิน เราได้ไปเจอคู่แข่งต่างชาติ ซึ่งตอนนั้นเราคิดว่าเราเจ๋งแล้วนะ แต่พอไปเจอนักแข่งจากชาติอื่น ๆ เช่น นักแข่งเกาหลี เราสู้เขาไม่ได้เลย (หัวเราะ)”
“หลังจากกลับมา เฟรมก็มีพัฒนาการที่ดีขึ้น เอาประสบการณ์มายกระดับตัวเอง จนพออายุ 19 ปี มีโอกาสได้ไปฝึกซ้อมที่ศูนย์ฝึกจักรยานที่สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งที่นี่ถือว่าเป็นศูนย์ฝึกจักรยานที่ใหญ่ที่สุดในโลก เราได้ไปเก็บตัวฝึกอยู่ 3 เดือน ที่นี่ก็เปลี่ยนโลกเราไปเลยเหมือนกัน การซ้อมมีความเข้มข้น และแตกต่างกับทางเอเชียค่อนข้างมาก”
“แต่เอาเข้าจริง ไม่ใช่ว่าเด็กไทยหรือเด็กเอเชียจะสู้เขาไม่ได้ แต่ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง บางอย่างเราควบคุมได้ แต่บางอย่างมันเกินการควบคุมของเรา แต่ประสบการณ์ในวันนั้น มันก็ทำให้เราสู้ตลอดนะ ยิ่งห่างยิ่งต้องสู้ เรามีแพสชันอยู่ตลอด”
จากระดับเยาวชนทีมชาติ เมื่อเข้าสู่อายุ 19 ปี เฟรมก้าวขึ้นไปติดทีมชาติชุดใหญ่ เวทีนี้ยิ่งทำให้เฟรมเห็นความแตกต่าง ตลอดจนเจอโจทย์ยาก ๆ ที่ไม่เหมือนกับตอนเป็นทีมเยาวชนแม้แต่น้อย
“การเป็นเยาวชนทีมชาติว่ายากแล้ว การเป็นทีมชาติชุดใหญ่ยากกว่า เพื่อน ๆ เฟรมหลุดหายไปหลายคน เพราะว่ามันยากจริง ๆ การขึ้นมาเป็นทีมชาติชุดใหญ่ ต้องแข่งขันกับรุ่นใหญ่ พวกเขามีทั้งความเก๋า ความแรง การแข่งขันที่มีแต่ความเดือด”
“โชคดีที่เฟรมผ่านมาได้ เพราะเราพยายามสู้ และเราสู้ได้ ตอนที่เก็บตัวในแคมป์ทีมชาติ เฟรมกล้าขี่ กล้าสู้ โดยเฉพาะถ้าเป็นจุดไหนที่เราถนัด เคยไปเก็บตัวกันที่เชียงใหม่ ต้องไปปั่นขึ้นดอยสุเทพ รุ่นเดียวกันหลุดหมด เว้นเราที่ปั่นขึ้นไปนำกับพี่ ๆ ทำให้เรายังอยู่กับชุดใหญ่มาโดยตลอด”
สร้างชื่อในโอลิมปิก 2024
จากนักขี่โนเนมระดับภูมิภาค ก้าวสู่แคมป์ทีมชาติ เฟรมใช้เวลาอยู่หลายปี มีทั้งช่วงเวลาที่ดี และช่วงเวลาที่ผลงานดรอปลงไปบ้าง แต่เขาก็ยังคงรักษาฟอร์มในระดับทีมชาติได้ตลอดมา กระทั่งปี 2024 ที่ถือเป็นช่วงพีกของตัวเอง เมื่อไปคว้ารางวัลในงานแข่งจักรยานระดับชาติ และได้รับโอกาสเป็นตัวแทนจักรยานทีมชาติไทยไปแข่งขันในกีฬาโอลิมปิก 2024
“ปีที่แล้ว (ปี 2024) เป็นปีที่เราฟอร์มพีกมากที่สุด เฟรมได้ดับเบิลแชมป์ ในรายการชิงแชมป์ประเทศไทย รวมทั้งได้อันดับ 2 เวลารวมของรายการทัวร์ ออฟ ไทยแลด์ 2024 แล้วก็ยังได้แชมป์อาเซียนในรายการเดียวกัน “
“จากนั้นเราได้ตั๋วไปโอลิมปิก 2024 ซึ่งโควตานี้เป็นของทีมชาติไทย เกิดจากการไล่ล่าสะสมคะแนนมาตลอดทั้งปี ทีนี้ต้องหาตัวแทนไปแข่ง ซึ่งพอดีว่า เป็นช่วงที่เราฟอร์มดีที่สุด ได้รางวัลมากมาย ทำให้ทางผู้ใหญ่ของสมาคมจักรยานฯ เลือกให้เราเป็นตัวแทนประเทศไปแข่งขันโอลิมปิก 2024”
นอกจากจะได้สิทธิ์ไปแข่งในโอลิมปิก 2024 เฟรมยังถือเป็นนักกีฬาจักรยานชายคนแรกของไทย ที่ได้เข้าร่วมแข่งขันจักรยานโอลิมปิกสมัยใหม่ แม้จะไม่ได้รางวัลใด ๆ ติดไม้ติดมือกลับมา แต่สิ่งที่ได้มาเต็มกระเป๋านั้น คือ ประสบการณ์อันล้ำค่า ที่เฟรมบอกว่า หาที่ไหนไม่ได้จริง ๆ
“บรรยากาศในโอลิมปิกเยี่ยมมาก ทั้งคนที่มาเชียร์ ทั้งนักแข่งระดับท็อปของโลกมากมาย บางคนเราเคยเห็นแต่ในทีวี ครั้งนี้มาออกสตาร์ตอยู่ข้าง ๆ กัน รู้สึกตื่นเต้น และประทับใจเอามาก ๆ”
“ในแง่ของการแข่งขัน ก็เป็นไปอย่างที่เห็น เฟรมตั้งใจฉีกตัวเองออกจากกลุ่มใหญ่ เพื่อไปอยู่ในกลุ่ม Breakaway เนื่องจากเฟรมทำการบ้านจากโอลิมปิกที่โตเกียว มีคนเคยใช้แผนนี้ แล้วสามารถจบการแข่งขันได้ รวมทั้งปรึกษากับโค้ช เขาก็เห็นด้วย ดังนั้น ไม่ใช่ว่าเราคิดตอนนั้นและทำตอนนั้น แต่เกิดจากการวางแผนมาก่อน ถ้าเราอยากเป็นแบบไหนในการแข่ง เราต้องซ้อมมาแบบนั้น ซึ่งเฟรมซ้อมแบบนี้มา 4 – 5 เดือนก่อนมาแข่งที่โอลิมปิก”
“แต่จุดที่มันผิดพลาด เอาเป็นว่า เราขาดประสบการณ์ดีกว่า เป็นเรื่องของรถเซอร์วิส หรือรถทีม ที่ต้องส่งเสบียงอาหารให้กับเราระหว่างทาง ซึ่งการใช้รถทีมในโอลิมปิกครั้งนี้ ถ้านักแข่งมาจากชาติเดียวกัน 4 คน จะได้ใช้รถทีม 1 คัน แต่ถ้าน้อยกว่านั้น หรือมีแค่คนเดียว จะต้องไปแชร์รถทีมร่วมกับชาติอื่น เราก็เลยต้องไปใช้รถทีมร่วมกับนักแข่งจากชาติมอริเชียส และมองโกเลีย”
“วันนั้นเราเตรียมเสบียงไปเยอะมาก มีคาร์โบดริงค์อยู่ในกระติก ขนาด 40 กรัม ซึ่งเฟรมวางแผนไว้แล้วว่า เราต้องดื่มคาร์โบดริงค์ 2 กระติก ต่อ 1 ชม. อันนี้ยังไม่รวมพวกเจล ขนมปังต่าง ๆ ที่ต้องกินเข้าไปด้วย รวมแล้วจะได้ชั่วโมงละ 100-120 กรัมคาร์โบไฮเดรต ถึงจะเพียงพอให้เรามีแรงไปถึงเส้นชัยได้”
“แต่พอถึงเวลาจริง เราได้คาร์โบดริงค์แค่ 2 กระติกที่พกไปตั้งแต่ออกสตาร์ต หลังจากนั้นไม่ได้อะไรอีกเลย ช่วง 1 ชั่วโมงแรก เฟรมยังไม่รู้ปัญหา แต่พอผ่านไป 1 ชั่วโมงกว่า ๆ หลังจากที่เฟรมกินตามแผนที่เราวางไว้ พอทำสัญลักษณ์ยกกระติกน้ำ เพื่อจะเรียกขอคาร์โบดริงค์จากรถทีม ยกครั้งแรกไม่มา ครั้งที่สองไม่มา เริ่มแปลกใจแล้ว ครั้งที่สาม สี่ ห้า ก็ยังไม่มา เฟรมทำใจแล้ว แสดงว่าต้องมีอะไรแน่ ๆ”
“ปัญหาที่เกิดขึ้นตอนนั้นคือ รถทีมไม่ขับขึ้นมายังกลุ่มที่เฟรมอยู่ข้างหน้า ด้วยความที่คนขับรถทีมเป็นชาติมองโกเลีย เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาต้องแบ่งหน้าที่ไปดูแลนักแข่งชาติของเขา ส่วนนักแข่งชาติมอริเชียส ทีมงานเขามีประสบการณ์ เขาแก้ปัญหาด้วยการให้ทีมงานไปส่งเสบียงให้กับนักแข่งตามจุดต่าง ๆ ทำให้ไม่เจอปัญหานี้”
“สถานการณ์ในตอนนั้น เฟรมพยายามฝืนตัวเองไปราว ๆ 190 กิโลเมตร แล้วก็หลุดกลุ่มออกมา ซึ่งตอนที่หลุด เรารู้ตัวว่าหัวใจเราไหว เราซ้อมมา หัวใจเรายังเต้นอยู่ในโซนที่โอเคอยู่เลย แต่ว่ากล้ามเนื้อมันไม่โกหกน่ะครับ กล้ามเนื้อที่มันไม่ได้มีพลังงานอยู่ในเส้นใยของกล้ามเนื้อ มันร้อน มันเหมือนถูกเผา ตอนนั้นเหยียบบันไดรถจักรยานไม่ลงแล้ว”
สรุปว่า โอลิมปิกครั้งแรกของเฟรม จบลงด้วยการไม่ได้ไปต่อถึงเส้นชัย และความผิดพลาดหนนี้ เขาบอกว่า คือประสบการณ์อันล้ำค่า
การที่ผลมันออกมาเป็นแบบนี้ เฟรมเสียดายนะ เสียดายมาก ๆ เลยล่ะ แต่เฟรมไม่ได้เสียใจ เพราะเราทำเต็มที่ที่เราจะทำได้แล้ว พอผลมันออกมาเป็นแบบนี้ มันก็ยิ่งดี เพราะทำให้เรามีแรงผลักดันให้เราอยากกลับไปต่อ เพื่อแก้มืออีกครั้ง
นอกจากความพยายามในการกลับไปแก้ตัวใหม่อีกครั้ง เฟรมยังบอกอีกว่า โอลิมปิกทำให้เขารู้ว่า ฝันของคนเราไม่ไกล ถ้าตั้งใจตามล่ามันอย่างจริงจัง
“โอลิมปิกเป็นบทเรียนชีวิตที่บอกกับเราว่า ถ้าเรายังทำในสิ่งที่เรายังรัก และเราไม่หยุดทำ สักวันหนึ่งมันจะพาเราไปที่ที่มันดีกว่าเดิมแน่นอน เฟรมไม่เคยนึกว่า ตัวเองในวัย 25 ปี จะได้ไปเป็นหนึ่งในชาวโอลิมเปียน (นักกีฬาโอลิมปิก) แต่ถามว่าเฟรมใฝ่ฝันไหม ใช่ เฟรมใฝ่ฝันมาก ๆ ในการที่จะไปโอลิมปิกสักครั้งในชีวิต ดังนั้น ถ้าเราไม่หยุดทำซะอย่าง ยังไงมันก็จะพาเราไปยังจุดที่ฝันจนได้”
เดินหน้าสู่ความท้าทายรายการแข่งขันใหม่ ๆ
จบจากโอลิมปิก 2024 มาสู่ปี 2025 รายการใหญ่ที่เฟรมเตรียมเข้าร่วมแข่งขัน นั่นคือ รายการ ทัวร์ ออฟ ไทยแลนด์ 2025 อีกหนึ่งรายการที่เฟรมบอกว่า เป็นความท้าทาย แถมปีนี้เจ้าตัวต้องทำผลงานให้ดีไม่น้อยไปกว่าปีก่อน
“เสน่ห์ของทัวร์ ออฟ ไทยแลนด์ คือความร้อน” เฟรมเล่าพลางหัวเราะ เนื่องจากเป็นอันรู้กันในบรรดานักแข่งจักรยานว่า ทัวร์นาเมนต์นี้จัดแข่งในช่วงต้นปี อุณหภูมิความร้อนจึงเป็นตัวแปรสำคัญ รวมถึงลักษณะภูมิประเทศอีกด้วย
“รายการนี้เป็นทัวร์ของบ้านเรา ในฐานะนักแข่ง เหมือนเราเป็นเจ้าบ้าน ในทางกีฬาจะเรียกว่า Hometown Adventage จะมีความได้เปรียบในความเป็นเจ้าบ้าน เรื่องของความคุ้นเคย ซึ่งที่ผ่านมา ทีมไทยของเรามักจะมีเซอร์ไพรส์ทุก ๆ ปี อาจจะเรียกว่าเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งก็ได้”
เฟรมเล่าต่อว่า ทัวร์ ออฟ ไทยแลนด์ 2025 มีความแตกต่างไปจากครั้งก่อน ๆ ตรงที่ ครั้งนี้จะไม่ได้ย้ายสถานที่ไปเรื่อย ๆ เหมือนที่ผ่านมา
“ทัวร์ ออฟ ไทยแลนด์ปีนี้ จะแปลกกว่าปีทั่ว ๆ ไป ตรงที่เส้นทางการแข่งจะอยู่รอบ ๆ จังหวัดสระแก้ว ปกติจะแข่งข้ามจังหวัด ย้ายจังหวัดไปเรื่อย ๆ แต่ปีนี้จะแตกต่างออกไป ถ้าพูดในแง่ของเส้นทาง ปีนี้ไม่ค่อยเข้าทางเราเท่าไร ถ้าเทียบกับปีที่แล้ว คือปีที่แล้วเราได้แชมป์สเตจมา 2 สเตจ ซึ่งเป็นทางขึ้นเขา ทีมไทยเราถนัดเส้นทางขึ้นเขา แต่ปีนี้เป็นทางเรียบค่อนข้างเยอะ อาจจะไม่ได้เปรียบเท่าไร แต่เราก็มีการไปเฟ้นตัวสปีดมาค่อนข้างเยอะ เอามาวัดพลังกับทีมอื่น ๆ ในเส้นทางที่เป็นทางเรียบแบบนี้”
เฟรมบอกต่อว่า ทัวร์ ออฟ ไทยแลนด์ เป็นรายการแข่งขันจักรยานที่เป็นรายการใหญ่ของประเทศ และมีความสำคัญให้นักกีฬาไทยได้พัฒนาการขี่จักรยาน แต่หากมองภาพโดยรวม ทัวร์นาเมนต์การแข่งขันจักรยานในเมืองไทยยังถือว่ามีจำนวนน้อยเกินไป
“ทางฝั่งยุโรป เขามีจัดแข่งทุกวัน ทุกมุมเมือง เราจิ้มได้เลยว่าวันนี้เราอยากไปแข่งที่ไหน ทำให้เขาเก่งกว่าเรา เพราะเขาแข่งเยอะ ปัจจุบันบ้านเรารายการแข่งขันยังมีจำนวนไม่มาก ถ้าเป็นรายการระดับ Elite สูงสุดก็คือ ชิงแชมป์ประเทศไทย มีแค่ปีละ 5 สนาม”
“กีฬาจักรยาน ซ้อมกับแข่งต่างกันมาก บางคนซ้อมเก่งมาก แต่เวลาไปแข่งจริง ทำไม่ได้อย่างที่ซ้อม เพราะบรรยากาศในการแข่ง เป็นเรื่องของประสบการณ์ที่หาไม่ได้จากการซ้อม"
กีฬาจักรยาน ขอแค่ซ้อมให้ถูกต้อง ให้พอเหมาะพอควร แล้วไปแข่งให้เยอะ ๆ เพราะหัวใจของกีฬาจักรยาน ยิ่งแข่งเยอะ ยิ่งเก่ง
นอกจากมีทัวร์นาเมนต์การแข่งขันที่มากพอเพื่อการพัฒนาฝีมือแล้ว เฟรมยังบอกอีกว่า การได้รับการสนับสนุนจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก เพื่อให้เหล่านักกีฬาสามารถพัฒนาตัวเองไปได้อีกไกล
“นักกีฬาทุกคน ไม่ได้อยู่เพื่อตัวเอง แต่เรามีคนที่ต้องดูแล มีครอบครัว มีคนแวดล้อม เราไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่เพื่อตัวเราคนเดียว ดังนั้น การได้รับการสนับสนุนที่สมน้ำสมเนื้อ จะทำให้เราวางหลายๆ เรื่องลงได้ ทำให้เรากังวลน้อยลง และทำให้เราพัฒนาตัวเองในด้านกีฬาได้อย่างเต็มที่”
“เฟรมคิดว่าเราไม่ได้ด้อยกว่าชาติอื่นเลย อย่างการแข่งขันชิงแชมป์เอเชียที่ผ่านมา เราไปถึงรองแชมป์ ดังนั้น ด้วยศักยภาพของเรา ทีมเรา เราไปได้ไกลกว่านี้อีกเยอะมาก เฟรมว่าน้อง ๆ ในทีมชาติ ยังเก่งได้มากกว่านี้ หรือรุ่นพี่ ๆ อย่างพี่มะตูม (พ.อ.อ.พีระพล ชาวเชียงขวาง) ยังเก่งได้มากกว่านี้ ถ้าได้รับการสนับสนุนที่มากพอ”
จักรยาน...ความฝัน...และการไปให้สุดยังปลายฝัน
ผ่านเวลามากว่า 20 ปี ผู้ชายคนนี้มี “จักรยาน” ร่วมทางมาโดยตลอด จากวันนี้และวันต่อ ๆ ไป เจ้าพาหนะสองล้อคันนี้ จะยังคงอยู่คู่ไปกับชีวิตเขาต่อไปเช่นกัน
เฟรมว่าจักรยาน มันเท่ากับคำว่า อิสระ คือเวลาเราอยู่บนจักรยาน เราจะรู้สึกอิสระมาก และเราสามารถพาตัวเองที่อยู่บนจักรยานไปไหนก็ได้ ด้วยแรงของตัวเอง ไม่ใช่แรงจากเครื่องยนต์
“เวลาเราปั่นจักรยานออกไป มันจะมีลมที่มาปะทะหน้าเรา วิวสองข้างทางที่เลือนรางไปตามความเร็ว ทุกอย่างดีไปหมด และทำให้ความรู้สึกเราดีมาก ความเครียดจะหายไป เราจะรู้สึกอิสระมาก บนจักรยาน บนความเร็วนั้น”
วันนี้ เฟรมคือหนึ่งในอินฟลูเอนเซอร์ด้านจักรยานที่มีผู้ติดตามมากมาย เขาบอกว่า ความโด่งดังเหล่านี้เหมือนกับแสงไฟ เมื่อมีด้านที่สว่าง ก็ย่อมมีด้านมืดด้วยเช่นกัน
“ของทุกอย่าง มีขาว ก็ต้องมีดำ มีแสง ก็ต้องมีเงา บางคนอาจจะเห็นว่าเป็นอินฟลูฯ มีคนติดตามเยอะ แต่ในอีกมุมหนึ่ง การใช้ชีวิตของเราก็ต้องระวังให้มากขึ้น การใช้โซเชียลมีเดีย เราก็ต้องระวัง การที่เราโพสต์อะไรไปสักอย่าง มันจะอยู่ในสายตาคนมากมาย หรือการที่เราจะไป React หรือแสดงความคิดเห็นอะไร ก็ต้องระวัง”
“ช่วงโอลิมปิก ถึงจะมีคนชื่นชมเรา แต่เฟรมก็โดนโจมตีเยอะ ตอนแรกตกใจมาก ไม่เคยเจอ เพราะสิ่งที่เราทำ เราทำด้วยเจตนาดีร้อยเปอร์เซนต์ แต่พอมีคนเห็นต่างขึ้นมา มันทำให้เรานอยด์เหมือนกัน ยิ่งเป็นความเห็นต่างที่ใช้คำพูดคำจาที่ทิ่มแทง แต่พอเราผ่านจุดนั้นมาได้ มันก็สอนให้เราเข้มแข็ง โอเค ไม่เป็นไร ทุกคนมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็น เราไปห้ามให้เขาไม่พิมพ์ไม่ได้ แต่อยู่ที่เรามากกว่าว่า เราจะเลือกทิ้ง หรือว่าเราจะเลือกเก็บ”
“เฟรมจะแยกระหว่าง ความคิดเห็น กับ ข้อเท็จจริง บางอันเป็นแค่ความคิดเห็น ที่เป็นความคิดเห็นจริง ๆ แถมมาด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย เราก็เลือกที่จะทิ้ง ไม่เป็นไร แต่บางอันที่เป็นข้อเท็จจริง เราก็นำสิ่งนี้ไปปรับปรุงตัว และเราก็จะขอบคุณเขาด้วย”
เฟรมบอกต่อว่า โลกจักรยาน เป็นครูที่ดี และสอนเรื่องราวต่าง ๆ ให้กับตัวเขามากมาย ชีวิตมาได้ไกลถึงวันนี้ เพราะ “จักรยาน” อย่างแท้จริง
“ถ้าเฟรมไม่ได้ปั่นจักรยาน เฟรมว่าเฟรมคงไม่ได้เป็นเฟรมแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ จักรยานสอนให้เฟรมอดทน ไม่ถอดใจ จนกว่าจะถึงเส้นชัย ซึ่งเอามาปรับใช้กับทุก ๆ อย่างในชีวิตได้ นอกจากนี้ จักรยานยังสอนเรื่องมิตรภาพ เรื่องวินัยในการดูแลตัวเอง”
มนุษย์ย่อมมีความฝัน และนักปั่นที่ชื่อ “เฟรม - ธนาคาร” ก็มีความฝันเช่นกัน เขาบอกว่า เป้าหมายสุดทายที่อยากไปให้ถึงในโลกจักรยาน นั่นคือ การไปแข่งขันรายการ ตูร์ เดอ ฟรองซ์ ซึ่งเป็นการแข่งขันจักรยานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก
“เป็นคนที่ชอบฝันเวอร์ ๆ ไว้ก่อน (หัวเราะ) อย่างโอลิมปิกครั้งที่ผ่านมา เฟรมก็ฝันเวอร์ ๆ ไว้ตั้งนานแล้วแหละ มีแต่คนบอกว่า จะเป็นไปได้ยังไง จักรยานไทย จะไปโอลิมปิกได้เหรอ สุดท้ายเฟรมก็ไปมาแล้ว”
จากนี้ไป เฟรมก็มีฝันเวอร์ ๆ อีกว่า อยากไปอยู่ในรายการ ตูร์ เดอ ฟรองซ์ สักครั้ง แต่ถึงแม้ว่าเฟรมจะไปไม่ได้ แต่เราเริ่มต้นเอาไว้สัก 30% แล้วเฟรมส่งต่อฝันให้กับคนรุ่นหลังเพื่อให้ได้ไปต่อ มันก็จะยิ่งใกล้เข้าไปเรื่อย ๆ ถ้าวันหนึ่งไม่ใช่เฟรมที่ได้ไปตูร์ เดอ ฟรองซ์ แต่เป็นรุ่นน้องอีกสิบปี เฟรมก็ดีใจนะ
20 ปีกับการขี่จักรยาน เส้นทางชีวิตกับจักรยานของเขายังคงเดินหน้าไปต่อ ส่วนใครที่ตามหาความฝัน หรือเห็นเฟรมเป็นต้นแบบ เขาแนะนำว่า ถ้ารักจะทำอะไรสักอย่าง ขอให้ไปให้สุดทาง
“ถ้าคุณรักในสิ่งที่ทำอยู่ ขอให้ทำมันไปเรื่อย ๆ อย่าหยุดทำ สักวันหนึ่ง มันจะพาเราไปในที่ที่เราคาดไม่ถึงก็เป็นได้"
"อีกอย่างคือความสนุก อยากให้ทุกคนสนุกกับสิ่งที่ทำ ยิ่งถ้ามันเป็นสิ่งที่เรารัก แล้วเราสนุกกับมันด้วย มันจะติดปีกพาเราไปได้ไกล ขอให้ทุกคนมีความสุขกับสิ่งที่รัก และเอนจอยกับมันเยอะ ๆ ครับ”
ฝันจะไปได้ไกลหรือใกล้ ขึ้นอยู่กับความตั้งใจ และความพยายาม แต่ไม่ว่าฝันจะไปได้ไกลสักแค่ไหน จงภูมิใจกับสิ่งที่ได้ทำ ไม่ว่ามันจะเป็นความสำเร็จแค่ไหนก็ตาม...
ขอบคุณภาพจาก เฟซบุก Frame Thanakhan
ติดตามการถ่ายทอดสดสุดยอดการแข่งขันจักรยานทางไกลนานาชาติ “ทัวร์ ออฟ ไทยแลนด์ 2025”
- ประเภททีมชาย วันที่ 24 – 29 มี.ค. 68 เส้นทาง อรัญประเทศ จ.สระแก้ว อุทยานประวัติศาสตร์สด๊กก๊อกธม วังน้ำเย็น และอุทยานแห่งชาติปางสีดา
- ประเภททีมหญิง วันที่ 31 มี.ค. – 2 เม.ย. 68 เส้นทาง อรัญประเทศ จ.สระแก้ว และวัฒนานคร
📌 ชมสดเฉพาะออนไลน์ เวลา 08.50 น. เป็นต้นไป
Facebook : Thai PBS, Thai PBS Live Sports
YouTube : Thai PBS
TikTok : Thai PBS
📌 ชมสดแบบ Multi-View เฉพาะที่ Website : www.VIPA.me และ VIPA Application
ติดตามรายละเอียดได้ทาง www.thaipbs.or.th/TourofThailand2025