ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

“Climate Change” อาจทำให้เสี่ยงต่อโรคจาก “น้ำเสีย” มากขึ้น


วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

14 มี.ค. 68

จิราภพ ทวีสูงส่ง

Logo Thai PBS
แชร์

“Climate Change” อาจทำให้เสี่ยงต่อโรคจาก “น้ำเสีย” มากขึ้น

https://www.thaipbs.or.th/now/content/2461

“Climate Change” อาจทำให้เสี่ยงต่อโรคจาก “น้ำเสีย” มากขึ้น
บริการเสริมจาก Thai PBS AI

หากนึกถึง “การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ” (Climate Change) เราอาจมองไปที่เหตุการณ์สภาพอากาศที่รุนแรง เช่น คลื่นความร้อนที่ทำลายสถิติ ฝนตกหนัก หรือน้ำท่วมที่เลวร้าย เป็นต้น แต่นอกจากที่กล่าวมาแล้วอาจต้องนึกถึงเพิ่มความเสี่ยงในการสัมผัสกับ “ไวรัส” บางชนิดได้ด้วยเช่นกัน

งานวิจัยซึ่งเผยแพร่ใน ScienceDirect โดย Jessica Kevill ผู้ช่วยวิจัยหลังปริญญาเอก คณะสิ่งแวดล้อมและวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ มหาวิทยาลัยแบงกอร์ (Bangor University) เผยว่า ในปัจจุบันเราอาศัยอยู่ในโลกที่มักเกิดเหตุการณ์สภาพอากาศเลวร้ายบ่อยครั้ง เช่น ฝนตกหนัก ซึ่งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนี้ อาจเพิ่มโอกาสในการสัมผัสกับไวรัสที่เกี่ยวข้องกับน้ำเสีย เนื่องจาก “ฝนตกหนัก” อาจทำให้ระบบท่อระบายน้ำในเมืองมีน้ำฝนล้นได้ ส่งผลให้น้ำเสียที่ยังไม่ผ่านการบำบัดถูกปล่อยลงในแม่น้ำ ทะเลสาบ หรือแหล่งน้ำชายฝั่งนั่นเอง

โดยงานวิจัยเผยผลการศึกษาว่า ไวรัสที่เกี่ยวข้องกับ “น้ำเสีย” สามารถอยู่ได้นานหลายวันในสภาพอากาศบางประเภท ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพสำหรับผู้ที่สัมผัสกับน้ำเสียที่ไม่ได้รับการบำบัด

ท่อน้ำเสีย ปล่อยน้ำเสียลงทะเล

“น้ำเสีย” ซึ่งประกอบด้วยปัสสาวะ-อุจจาระของมนุษย์ จะนำพาเอาเซลล์ที่ตายแล้ว เศษอาหาร ยา แบคทีเรีย และไวรัสจำนวนมากไปด้วย แม้ว่าไวรัสส่วนใหญ่ที่มนุษย์ปล่อยออกมาจะค่อนข้างไม่เป็นอันตราย แต่ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรค เช่น “เอนเทอโรไวรัส” (Enterovirus) และ “โนโรไวรัส” (Norovirus) สามารถปล่อยอนุภาคไวรัสได้หลายพันล้านอนุภาคทุกครั้งที่เข้าห้องน้ำ

แม้ว่าอาการของโรคจะหายแล้ว แต่ผู้คนก็ยังคงสามารถแพร่เชื้อไวรัสได้ในปริมาณมากเมื่อใช้ห้องน้ำ เชื้อไวรัสเหล่านี้จะถูกปล่อยลงในระบบท่อระบายน้ำและไหลผ่านระบบท่อจนถึงโรงบำบัดน้ำเสีย

วิธี “บำบัดน้ำเสีย” ทั่วไปที่ใช้ในสหราชอาณาจักรมีประสิทธิภาพในการกำจัดไวรัสได้มากกว่า99 เปอร์เซ็นต์แต่ถึงแม้จะมีประสิทธิภาพดังกล่าว “น้ำเสีย” ที่ผ่านการบำบัดแล้วและปล่อยลงสู่สิ่งแวดล้อมก็ยังคงมีความเสี่ยงอยู่ ดังนั้น แม่น้ำ ทะเลสาบ หรือทะเลจึงได้รับไวรัสที่อาจเป็นอันตรายทุกวันตลอดทั้งปี อย่างไรก็ตาม การปล่อยน้ำเสียดิบที่ไม่ได้รับการบำบัดถือเป็นความเสี่ยงที่ร้ายแรงกว่ามาก

ท่อน้ำเสีย ระบายน้ำเสีย ภาพจาก 123rf

ทั้งนี้ สิ่งสำคัญคือนักวิทยาศาสตร์ต้องเข้าใจว่าเหตุการณ์สภาพอากาศที่เลวร้ายเหล่านี้จะส่งผลต่อ “ไวรัส” ที่เกี่ยวข้องกับน้ำเสียที่ถูกปล่อยลงสู่สิ่งแวดล้อมอย่างไร โดยสิ่งที่ยังไม่ชัดเจนคือสภาพอากาศส่งผลต่อ ความสามารถในการแพร่เชื้อสู่คนของ “ไวรัส” อย่างไร และการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศจะทำให้ความเสี่ยงเหล่านี้แย่ลงหรือไม่ การทำความเข้าใจเรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการแก้ไข “ปัญหาสุขภาพ” ที่เพิ่มมากขึ้นอันเกิดจากสภาพอากาศที่เลวร้ายและการปนเปื้อนของน้ำเสีย

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ทีมวิจัยจึงได้พัฒนาวิธีการกรอง “ไวรัส” ที่เสียหายเกินกว่าจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ วิธีนี้ทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลการศึกษาเน้นเฉพาะ “ไวรัส” ที่อาจทำให้เกิดการติดเชื้อในแต่ละตัวอย่างเท่านั้น นอกจากนี้ วิธีการนี้จะช่วยให้ทีมวิจัยระบุไวรัสได้หลายประเภทพร้อมกัน โดยกระบวนการมีประสิทธิภาพและครอบคลุมมากขึ้น

ทีมวิจัยได้ทำการทดลองเพื่อศึกษาว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศส่งผลต่อไวรัสที่เกี่ยวข้องกับน้ำเสียอย่างไร และความเสี่ยงที่ไวรัสเหล่านี้ก่อให้เกิดต่อสุขภาพของมนุษย์ โดยการทดลองนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อจำลองเหตุการณ์สภาพอากาศในระยะสั้น เช่น พายุ และการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว เช่น อุณหภูมิที่สูงขึ้น จากนั้นนำ “ไวรัส” ที่เกี่ยวข้องกับน้ำเสีย เช่น อะดีโนไวรัส (Adenovirus) และ โนโรไวรัส (Norovirus) เข้าไปในตัวอย่างแม่น้ำ ปากแม่น้ำ และน้ำทะเล มาติดตามการย่อยสลายของไวรัสเหล่านี้ในช่วงเวลา 2 สัปดาห์

ในการทดลองหนึ่ง ทีมวิจัยนำตัวอย่างไวรัสไปสัมผัสกับอุณหภูมิที่แตกต่างกัน ในขณะที่อีกการทดลองหนึ่ง จำลองการได้รับแสงแดด ในช่วงเวลาต่าง ๆ จากนั้นวัดระดับของไวรัสที่ยังไม่ติดเชื้อซึ่งอาจติดเชื้อได้ เพื่อติดตามการลดลงของไวรัสเหล่านี้

ด้วยข้อมูลที่ทำการศึกษานี้ ทีมวิจัยได้คำนวณ “อัตราการสลายตัวของ T90” ซึ่งหมายถึงเวลาที่ปริมาณไวรัสลดลง 90 เปอร์เซ็นต์ อัตราเหล่านี้ได้รับการวัดแยกกันสำหรับ “ไวรัส” ที่ยังสามารถทำให้เกิดการติดเชื้อได้ และสำหรับ “ไวรัส” ที่อยู่ในทุกระยะของการสลายตัว

ที่น่าสนใจคือ การศึกษานี้พบว่าประเภทของน้ำ เช่น แม่น้ำ ปากแม่น้ำ หรือทะเล มีผลเพียงเล็กน้อยต่อระยะเวลาที่ไวรัสสามารถแพร่เชื้อได้หรือตรวจพบได้ในการวิเคราะห์

ไวรัสในลำไส้ซึ่งทำให้เกิดอาการปวดท้องสามารถแพร่เชื้อได้ในน้ำทะเลนานถึง 3 วัน ในอุณหภูมิที่สูงถึง 30 องศาเซลเซียส และในอุณหภูมิที่เย็นกว่า ไวรัสสามารถแพร่เชื้อได้นานขึ้น โดยอยู่ได้นานถึง 1 สัปดาห์ เมื่อได้รับแสงแดด ไวรัสในน้ำจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึง 24 ชั่วโมง แต่ในวันที่อากาศครึ้ม ไวรัสจะมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 2.5 วัน ผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงต่อสุขภาพที่สำคัญอันเกิดจากไวรัสที่เกี่ยวข้องกับน้ำเสีย 

งานวิจัยเผยผลการศึกษาออกมา เพื่อเน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการ “บำบัดน้ำเสีย” ให้ดีขึ้นทั่วโลก นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นที่รัฐบาลและหน่วยงานด้านสุขภาพ จะต้องพัฒนากลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงที่ตรงเป้าหมาย เพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ


อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS

แหล่งข้อมูลอ้างอิง : sciencedirect, sciencealert

“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech

แท็กที่เกี่ยวข้อง

การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศClimate changeสภาพอากาศสภาพอากาศโลกน้ำเสียบำบัดน้ำเสียไวรัสฝนตกฝนตกหนักวิทย์น่ารู้วิทยาศาสตร์วิทยาศาสตร์น่ารู้Thai PBS Sci And Tech Thai PBS Sci & Tech Science
จิราภพ ทวีสูงส่ง
ผู้เขียน: จิราภพ ทวีสูงส่ง

เซบา บาสตี้ : เจ้าหน้าที่เนื้อหาดิจิทัล สำนักสื่อดิจิทัล ไทยพีบีเอส / Specialist Contents / Journalist / Writer / Creative Copywriter / Proofreader Lover (ติดต่อ jiraphobT@thaipbs.or.th หรือ 0854129703)

บทความ NOW แนะนำ

ข่าวล่าสุด