ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

รู้จัก Stroke โรคที่เวลาคือสิ่งที่สำคัญที่สุด


Logo Thai PBS
แชร์

รู้จัก Stroke โรคที่เวลาคือสิ่งที่สำคัญที่สุด

https://www.thaipbs.or.th/now/content/2444

รู้จัก Stroke โรคที่เวลาคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
บริการเสริมจาก Thai PBS AI

Stroke หรือ โรคหลอดเลือดสมอง เป็นหนึ่งในภัยเงียบที่อาจเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทั้งยังสร้างความเสียหายมหาศาลต่อชีวิตของผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็น อัมพฤกษ์ อัมพาต สูญเสียความสามารถในการพูด แขนขาอ่อนแรง หรือแม้แต่เสียชีวิต โรคหลอดเลือดสมองมักมีสัญญาณบ่งบอกมาล่วงหน้า แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่านี่เป็นสัญญาณของโรคหลอดเลือดสมอง

ภาพแสดงการอุดตันของเส้นเลือด MCA ทำให้สมองขาดเลือดในซีกหนึ่ง

โรคหลอดเลือดสมอง เกิดจากการไหลเวียนของเลือดภายในสมองไม่เพียงพอ ทำให้เซลล์ประสาทขาดออกซิเจน สาเหตุหลักมาจากการอุดตันของหลอดเลือดในสมอง

การอุดตันนั้นอาจจะไม่ทำให้เกิดภาวะสมองขาดเลือดทันที แต่จะค่อย ๆ สะสมจนหลอดเลือดอุดตันโดยสมบูรณ์และทำให้เกิดภาวะสมองขาดเลือดได้ อาการที่เกิดขึ้นมักค่อย ๆ แสดงในหลักชั่วโมง และหากรักษาภายใน 4 ชั่วโมงครึ่ง หรือที่เรียกว่า “Golden Hour” ผู้ป่วยมักจะฟื้นฟูได้อย่างสมบูรณ์

การอุดตันของหลอดเลือดในสมองทำให้เกิดชนิดของโรคหลอดเลือดสมองชนิด “Ischemic stroke” หรือ ภาวะสมองขาดเลือด ซึ่งอาจเกิดขึ้นอย่างเงียบ ๆ มีสาเหตุจากการอุดตันของลิ่มเลือด (Blood Clots) ซึ่งก่อตัวได้จากหลายสาเหตุ เช่น ภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว และภาวะลิ่มเลือดอุดหลอดเลือดดำลึก เป็นต้น

หัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (Atrial Fibrillation) จะทำให้หัวใจห้องบนสูบฉีดเลือดได้ไม่มีประสิทธิภาพ และอาจทำให้มีเลือดตกค้างจนเม็ดเลือดก่อตัวเป็นลิ่มเลือด (Embolus) และหลุดไปอุดตันที่สมองได้

ส่วนภาวะลิ่มเลือดอุดหลอดเลือดดำลึก (Deep Vein Thrombosis) ซึ่งเกิดจากการไหลเวียนของเลือดที่ไม่ดีในบริเวณหลอดเลือดที่ห่างไกลจากหัวใจ เช่น หลอดเลือดบริเวณขา เลือดจึงเกาะตัวกันเป็นลิ่มเลือด และไหลไปอุดตันในสมองได้

ภาพแสดง Stroke ชนิดหลอดเลือดสมองแตก ทำให้เกิดเลือดออกในบริเวณสมองและการกดทับเนื้อเยื่อสมอง

โรคหลอดเลือดสมองอีกชนิด ได้แก่ “Hemorrhagic Stroke” หรือภาวะหลอดเลือดสมองแตก จัดว่าอันตรายกว่าชนิดขาดเลือดมาก เนื่องจากความดันเลือดที่ไหลออกมาจะกดสมองเข้ากับกะโหลก ทำให้สมองได้รับความเสียหายเป็นบริเวณกว้างจากภาวะความดันในกะโหลกสูง (Intracranial Pressure)

โรคหลอดเลือดสมองแตกมักเกิดขึ้นโดยไม่มีอาการล่วงหน้า เพราะเกิดจากหลอดเลือดสมองโป่งพอง ซึ่งมักจะมีต้นเหตุมาจากโรคความดันสูง และแตกออกในที่สุด การแสดงโรคมักเกิดขึ้นแทบจะทันทีหลังจากที่หลอดเลือดสมองแตก เช่น ปวดหัวอย่างรุนแรง เวียนหัว หมดสติ หรือเสียชีวิต

ภาพแสดงลักษณะของการสูญเสียการควบคุมกล้ามเนื้อในฝั่งใดฝั่งหนึ่งจากภาวะสมองขาดเลือด

วิธีการสังเกตโรคหลอดเลือดสมอง “FAST”

“F” หรือ “Face” ก็คือใบหน้า เนื่องจากโรคหลอดเลือดสมองแบบขาดเลือดมักจะมีผลต่อสมองเพียงซีกเดียว ผู้ป่วยจึงมักแสดงอาการเพียงข้างใดข้างหนึ่ง ใบหน้าคือหนึ่งในการแสดงออกที่ชัดเจนที่สุดเนื่องจากถูกควบคุมโดยเส้นประสาทสมอง (Cranial Nerves) อาการคือ การแสดงออกทางสีหน้าไม่สมมาตร เช่น ยิ้มแล้วมุมปากอีกด้านตก เป็นต้น

“A” คือ “Arm” หรือแขนอ่อนแรง ซึ่งเกิดจากการที่สมองซีกใดซีกหนึ่งขาดเลือด และไม่สามารถสั่งการได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากแขนแล้วยังอาจส่งผลต่อขาอีกด้วย วิธีการทดสอบเบื้องต้นคือการให้ผู้ป่วยยกแขนขึ้นทั้งสองข้างและดูว่าแขนข้างใดอ่อนแรงลง หรือการให้ผู้ป่วยบีบมือทั้งสองข้างกับผู้ทดสอบ และดูว่ามีแขนข้างใดที่บีบได้อ่อนแรงกว่าหรือไม่

“S” คือ “Speech” หรือสูญเสียความสามารถในการพูด เมื่อสมองซีกใดซีกหนึ่งขาดเลือด การพูดซึ่งอาศัยการทำงานร่วมกันของสมองทั้งสองซีก และกล้ามเนื้อในการเปล่งเสียง จะได้รับผลกระทบไปด้วย ผู้ป่วยมักจะพูดไม่ชัด สูญเสียความสามารถในการพูด (Expressive Aphasia) หรือแม้แต่การเข้าใจภาษา (Receptive Aphasia)

ดังนั้นหากพูดกับผู้ป่วยแล้วผู้ป่วยเหม่อลอยไม่เข้าใจสิ่งที่พูด ก็อาจเป็นอาการของโรคหลอดเลือดสมองได้

“T” คือ “Time” เวลา เวลาเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง หากสงสัยว่าผู้ป่วยอาจมีภาวะสมองขาดเลือด ให้รีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลเพื่อการรักษาทันที เพราะเวลาที่เสียไปคือเนื้อสมองที่ค่อย ๆ เสียหายมากขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากนี้ ควรจดเวลาคร่าว ๆ ที่ผู้ป่วยแสดงอาการหรือเวลาที่เห็นผู้ป่วยแสดงอาการ เนื่องจากมีผลต่อการรักษาทางการแพทย์ในการประเมินความเสียหายของสมองของผู้ป่วย

นอกจาก FAST แล้วผู้ป่วยยังอาจมีปัญหาด้านการทรงตัว ทำให้ยืนหรือเดินไม่ตรง และมีปัญหาด้านการมองเห็นได้ เช่น มองไม่ชัด หรือเห็นภาพซ้อน

Decompressive Craniectomy ซึ่งเป็นหัตถการสำหรับลดแรงดันภายในกะโหลก

การพยากรณ์โรคมักขึ้นอยู่กับชนิดของโรคหลอดเลือดสมองที่เกิด ชนิดขาดเลือดมักจะอันตรายน้อยกว่าชนิดเลือดออก การรักษาโรคหลอดเลือดสมองชนิดขาดเลือดมักเป็นการให้ยาละลายลิ่มเลือด (Recombinant Tissue Plasminogen Activator หรือ rt-PA) ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Anticoagulants) หรือร่วมกับการสวนหลอดเลือดสมองเพื่อดึงลิ่มเลือดที่อุดตันออก (Mechanical Thrombectomy)

ในชนิดเลือดออก การรักษามักมีความซับซ้อนกว่ามาก เนื่องจากแรงดันในสมองทำให้เกิดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อสมองอย่างเป็นวงกว้าง แพทย์อาจจำเป็นต้องผ่าตัดเพื่อระบายเลือดและซ่อมแซมหลอดเลือดที่เสียหายให้เร็วที่สุด รวมถึงผ่ากะโหลกออกบางส่วน (Craniectomy) เพื่อให้สมองสามารถขยายตัวได้โดยไม่ถูกกดทับ

ผู้ป่วยที่รักษาทันเวลามักจะสามารถกลับไปใช้ชีวิตอย่างปกติได้หลังจากการบำบัดเป็นระยะเวลาหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยหลายรายที่รักษาไม่ทันเวลาอาจเกิดความพิการหลายอย่างขึ้นได้ หรือถึงขั้นอยู่ในภาวะโคมาและเสียชีวิต ดังนั้นสำหรับโรคหลอดเลือดสมอง เวลาคือสิ่งที่สำคัญที่สุด การนำผู้ป่วยส่งให้ถึงมือแพทย์โดยเร็วที่สุดมีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด เพราะเวลาที่ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงอาจหมายถึงความพิการหรือเสียชีวิตได้

เรียบเรียงโดย 
โชติทิวัตถ์ จิตต์ประสงค์
Department of Biomedical Sciences
College of Veterinary Medicine and Life Sciences
City University of Hong Kong

อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS  

“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech

แท็กที่เกี่ยวข้อง

โรคหลอดเลือดสมองหลอดเลือดสมองStrokeสมองวิทยาศาสตร์วิทยาศาสตร์น่ารู้วิทย์น่ารู้หัตถการทางการแพทย์ HalalThai PBS Sci And Tech Thai PBS Sci & Tech Science
Thai PBS Sci & Tech
ผู้เขียน: Thai PBS Sci & Tech

🌎 "รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก" ไปกับ Thai PBS Sci & Tech • วิทยาศาสตร์ • เทคโนโลยี นวัตกรรม • ดาราศาสตร์ • Media Literacy • Cyber Security • Tips & Tricks • Trends

บทความ NOW แนะนำ

ข่าวล่าสุด