กลายเป็นกระแสอีกครั้ง เมื่อ “ธุรกิจขายตรง (Direct Selling)” ที่มีผู้มีชื่อเสียงระดับดารามากมายเกี่ยวข้องอย่าง “ดิไอคอนกรุ๊ป” ถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็น “แชร์ลูกโซ่ (Pyramid Scheme หรือ Ponzi Scheme)” ปรากฏการณ์ลักษณะดังกล่าวมีเกิดขึ้นหลายครั้งในไทย เกิดเป็นข้อสงสัย “ธุรกิจขายตรง (แฝง) แชร์ลูกโซ่” เหตุใดจึงยังมีอยู่ แล้วเหตุใดจึงมักพบผู้เสียหาย จากผู้ที่ต้องการเริ่มต้นชีวิตนักธุรกิจขายตรง สู่ เหยื่อขบวนการแชร์ลูกโซ่
ทำความรู้จักกลยุทธ์ขายตรง เริ่มต้นจาก “ขายฝัน” ผันเปลี่ยนไปถึง “แชร์ลูกโซ่”
ในชีวิตของหลายคนอาจพบเจอการชักชวนไปร่วมทำธุรกิจไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะในช่วงชีวิตที่มีการเปลี่ยนผ่าน ไม่ว่าจะช่วงกำลังจะเรียนต่อ เพิ่งเรียนจบการศึกษา หรือเข้าสู่วัยเกษียณอายุได้ไม่นาน จากการชักชวนไป “ขายตรง” หรือร่วมทำธุรกิจอะไรบางอย่างที่นำไปสู่การ “ขายฝัน” และจบลงด้วย “แชร์ลูกโซ่”
จากหลายกรณีที่เกิดขึ้นทั้งที่ปรากฏเป็นข่าวใหญ่ และข้อมูลจากองค์กรที่ทำงานด้านนี้อย่างมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และสมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่แห่งประเทศไทย พอจะสรุปรวบยอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา “ธุรกิจขายตรงแฝงแชร์ลูกโซ่” มีกลยุทธ์ในการชักชวนจูงใจผู้คนที่ผสมผสานศาสตร์และศิลป์ทางจิตวิทยาหลายอย่างเข้าไว้ด้วยกัน ดังต่อไปนี้
1. นำเสนอความมั่นคง ร่ำรวยในชีวิต “รู้จัก Passive income มั้ย ?” คำถามหนึ่งที่ธุรกิจขายตรงใช้ชักชวนผู้คนให้เข้าสู่วงจรธุรกิจ แสดงให้เห็นถึงเป้าหมายของที่ท้ายที่สุดคือ “ชีวิตที่สุขสบายโดยไม่ต้องทำงาน” นี่เป็นคีย์เวิร์ดสำคัญ ที่มาพร้อมการโน้มน้าวใจ ผ่านปมส่วนตัวบางอย่าง เช่น ไม่อยากให้ครอบครัวสุขสบายเหรอ ?
2. เริ่มต้นจากเงินน้อย ๆ สู่เงินที่มากขึ้น และยากจะถอนตัว “ค่าคอร์สออนไลน์แค่ 98 บาท” แต่เนื้อหาในการอบรมนอกจากหลักการตลาดทั่วไปแล้ว ภาพรวมจะเป็นการโน้มน้าวใจให้ร่วมธุรกิจสมัครสมาชิก โดยเงินค่าสมัครจะเพิ่มขึ้นเป็นหลักพันบาท พร้อมได้สินค้ามาทดลองใช้หรือขาย และต้องเข้าร่วมอบรมต่อเนื่องที่มีราคาสูงขึ้นเรื่อย ๆ
3. แสดงให้ดูว่า “ใคร ๆ ก็ทำได้” โดยมีตัวอย่างเป็นคนที่เข้าร่วมทำธุรกิจแล้วสามารถประสบความสำเร็จได้ แต่ละคนจะมีส่วนที่ประกอบกันเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และทำให้เกิดการเชื่อมโยงกับผู้ที่ถูกชักชวนให้มาร่วมธุรกิจ เช่น หมอที่ผันตัวมาร่วมธุรกิจ ข้าราชการเกษียณอายุ นักเรียนทั้งระดับมัธยม และมหาวิทยาลัย วัยรุ่นที่เคยทำตัวเกเรมาก่อน จนถึงคนทำงานหาเช้ากินค่ำ หลายคนสามารถเชื่อมโยงตัวเองกับกรณีที่ประสบความสำเร็จได้อย่างสมบูรณ์ เพื่อนำไปสู่ขั้นตอนต่อ ๆ ไป
4. ผลตอบแทนสูงเมื่อชักชวนคนมาเข้าร่วม เมื่อขายฝันสำเร็จมีการเข้าสู่การเป็นสมาชิก ข้อเสนอถึงผลกำไรจากการชักชวนคนมาเข้าร่วมโดยการันตีค่าตอบแทนสูงจะเกิดขึ้นตามมา หากมีค่าตอบแทนที่สูงเกินจริงจะเข้าข่ายธุรกิจแชร์ลูกโซ่ทันที แต่หากการตอบแทนมีลักษณะของการขายสินค้า หลายครั้งสินค้ามักไม่มีคุณภาพเพียงพอ
5. ปรับตัวเปลี่ยนแบรนด์ทันสมัยอยู่ในเรื่องราวของผู้คนอยู่เสมอ เมื่อขายฝันสำเร็จ อาจมีการจ่ายค่าตอบแทนคืนในระดับหนึ่ง แต่เมื่อถึงจุดที่แชร์ลูกโซ่โตได้ไม่เพียงพอ จุดจบสุดท้ายคือการปิดบริษัทหนี แต่เมื่อเวลาผ่านไป หลายครั้งก็เกิดกระบวนการใหม่ที่เปลี่ยนสินค้า เปลี่ยนแบรนด์ โดยสินค้าและบริการหลากหลายชนิด ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือสร้างเรื่อวราวทางธุรกิจ จากอาหารเสริม เครื่องสำอาง จนถึงการลงทุนค่าเงินอย่าง Forex ที่ลงท้ายคือ การฉ้อโกงผู้คนครั้งใหญ่ ผู้ร่วมกระบวนการเปลี่ยนสินค้าที่นำมาขาย และทำทุกอย่างใหม่อีกครั้ง มีการแจกของยอดนิยมในช่วงเวลานั้น ๆ เช่น มือถือชื่อดัง ของเล่นที่เป็นกระแส ซึ่งทั้งดึงดูดและทำให้รู้สึกว่าพูดภาษาเดียวกันกับผู้คนในช่วงเวลานั้น
เหตุใด “ขายตรงแอบแฝงแชร์ลูกโซ่” ยังไม่หมดไป ?
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีธุรกิจการลงทุนมากมายที่ท้ายที่สุดลงเอยที่ “แชร์ลูกโซ่” หลายครั้งข้อกฎหมายไม่เพียงพอที่จะเอาผิดกลุ่มคนเหล่านี้ แต่มีผู้เสียหาย เสียทรัพย์สินเกิดขึ้นแล้ว และมีอีกมากมายหลายกรณีที่ไม่ปรากฏเป็นข่าว ความเสียหายอาจน้อย แต่นั่นอาจหมายถึง “เงินก้อนสุดท้าย” ของชีวิตใครบางคน บางคนขายทรัพย์สิน หรือหยิบยืมกู้เงินมาเพื่อลงทุน
ทั้งนี้ ในมุมของนักวิเคราะห์ด้านธุรกิจและนักการตลาด มองปรากฏการณ์เหล่านี้ เหตุใดที่ “กลวิธีการฉ้อโกง” เหล่านี้ถึงยังไม่หมดไปจากเมืองไทยเสียที ?
1. ผู้คนยังต้องการการยอมรับ การได้รับการยอมรับไม่ว่าจะเป็นทางสังคม การเงิน และอำนาจ เป็นจุดที่ทำให้กระบวนการแชร์ลูกโซ่ใช้หยิบยื่นมาโน้มน้าว หรือมาหลอกล่อให้เหยื่อเข้ามาติดกับได้
2. ธรรมชาติของการชอบเสี่ยงโชค ทฤษฎีแบบแผนการดำเนินชีวิต (Lifestyle Theory) ของ Michael Hindelang และคณะ อธิบายภูมิหลังของคนที่มักยกเหยื่อว่ามีพฤติกรรมที่ชอบเสี่ยงโชค อยากลงทุนน้อยแต่ได้ผลตอบแทนสูง
3. บทลงโทษยังคุ้มกับความเสี่ยง ความเสียหายของธุรกิจแชร์ลูกโซ่ส่งผลต่อผู้คนมากมาย สร้างความเสียหายเป็นเงินจำนวนมาก แต่ในมุมของบทลงโทษ ท้ายที่สุดแม้จะพิจารณาโทษเพิ่มเติมต่างกรรมต่างวาระ และมีจำนวนความผิดที่ต้องรับโทษนับพันปี แต่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 กำหนดให้โทษสูงสุดไม่เกิน 20 ปีเท่านั้น และเมื่อจำคุกจริง กลไกการจองจำยังเกิดการลดหลั่นลงไปตามกระบวนการ
4. ปรับตัวตามยุคสมัย กระบวนการหลอกลวงแชร์ลูกโซ่มักมีการปรับเปลี่ยนสินค้า หรือ “คอนเทนต์” เพื่อชักจูงผู้คนตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เช่น การชวนอบรมสัมมนาตำแหน่งงานด้านการตลาด สู่การชวนลงทุนค่าเงินต่างประเทศ มีการลงทุนทองคำในช่วงกระแสข่าวทองคำราคาขึ้น
การลงทุนมีความเสี่ยงยังคงเป็นคำพูดที่หยิบยกมาได้เสมอ และกลายเป็นดาบสองคมที่ทำให้ผู้กระทำผิดลอยนวล ขณะที่ผู้คนต้องระมัดระวังและรู้เท่าทันการหลอกลวงด้วยตัวเอง ท่ามกลางคำถามสำคัญว่า “รัฐ” ควรมีบทบาทอย่างไร ? ควรมีการพิจารณาปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามธุรกิจแชร์ลูกโซ่ รวมถึงการเพิ่มบทลงโทษให้รุนแรงขึ้น? แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ประชาชนควรต้องรู้เท่าทันและระมัดระวังตัวเองจากกลโกงเหล่านี้ด้วย การศึกษาวิธีสังเกตแชร์ลูกโซ่และเรียนรู้การลงทุนที่ปลอดภัยจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน ทำไมเหตุเหล่านี้ยังคงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ? เพราะหลากหลายกรณีในอดีต จากกรณีแชร์ลูกโซ่ดังอย่าง แชร์แม่ชม้อย FOREX-3D จนถึง พรีมายา เหล่านี้มียอดความเสียหายมากกว่าพันล้านบาท
Did You Know ?
“ขายตรง” VS “แชร์ลูกโซ่” แตกต่างกันอย่างไร ?
กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) มีข้อแนะนำการแยก “ธุรกิจขายตรง” กับ “ธุรกิจแอบแฝง” (แชร์ลูกโซ่) ไว้เป็นแนวทางนี้ต่อไปนี้
ลักษณะของธุรกิจขายตรง
1. รายได้หลักของสมาชิกมาจากการขายสินค้า การทำงาน การซื้อช้ำของผู้บริโภค
2. จ่ายค่าสมัครและซื้อสินค้าครั้งแรกในราคาที่เหมาะสม
3. มีการรับประกันคุณภาพสินค้า เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค
4. บริษัทรับซื้อคืนสินค้าเมื่อสมาชิกต้องการลาออก
5. เน้นการอบรมสมาชิกให้รู้วิธีทำการตลาด (รู้คุณภาพสินค้าและกระจายสินค้าคุณภาพถึงผู้บริโภค)
6. ไม่ชักจูงให้สมาชิกซื้อสินค้าจำนวนมากเพื่อกักตุนหรือเกินความจำเป็นสำหรับการบริโภคของตนเอง
7. ยึดมั่นในหลักการและจรรยาบรรณของนักขายตรงที่ดี เคารพกฎหมาย
ลักษณะของธุรกิจแอบแฝง
1. รายได้หลักมาจากการชักชวนคน / ระดมเครือข่ายสมาชิก / แทนการขายสินค้า
2. จ่ายค่าสมัครและบังคับซื้อสินค้าราคาแพงหรือจำนวนมากเกินความจำเป็นในการบริโภค
3. ไม่มีการรับประกันคุณภาพสินค้า
4. เมื่อสมาชิกต้องการลาออก ไม่สมารถคืนสินค้าได้
5. แผนการจ่ายผลตอบแทนดีเลิศอย่างเหลือเชื่อ (ไม่น่าเชื่อว่าลงทุนต่ำ ไม่ต้องทำงาน แต่รวยเร็ว)
6. เน้นการหาสมาชิกใหม่ให้มาร่วมลงทุนแทนการให้ความรู้เรื่องคุณภาพและการนำสินค้าไปสู่ผู้บริโภค
7. เน้นการจูงใจสมาชิกซื้อสินค้าจำนวนมากเกินความจำเป็นสำหรับการบริโภค
8. ไม่ยึดมั่นในหลักการและจรรยาบรรณของนักขายตรงที่ดี หลบเลี่ยงกฎหมาย
9. ดำเนินธุรกิจในลักษณะหลบเลี่ยงกฎหมาย
อ้างอิง
- สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
- มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
- กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI)
- สมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่แห่งประเทศไทย