เข้าสู่กลางเดือนพฤษภาคม หนึ่งวาระสำคัญที่ครอบครัวคนไทยคุ้นเคยกันดี นั่นคือ การเปิดภาคการศึกษา หรือเรียกกันติดปากว่า “เปิดเทอม” คำนี้มักคู่ขนานมากับคำว่า “ค่าเทอม” อันเป็นค่าเล่าเรียนที่พ่อแม่ผู้ปกครองหรือครอบครัว ต้องจ่ายให้กับสถาบันการศึกษา
Thai PBS ชวนดูวิวัฒนาการ “ค่าเทอม” นักเรียนไทย จากอดีตสู่ปัจจุบัน ปัจจัยใดที่ทำให้ค่าเทอมขยับตัวสูงขึ้น ตลอดจนทางเลือกเพื่อโอกาสทางการศึกษานั้น มีหนทางใดอีกบ้าง
รู้จัก “ค่าเล่าเรียน” คืออะไร ?
ค่าเล่าเรียน คือ ค่าบำรุงการศึกษา ค่าหน่วยกิต และค่าธรรมเนียมการศึกษา ที่จ่ายให้ตามภาคหรือปีการศึกษา ที่สถานศึกษาเรียกเก็บ และให้ความหมายถึง ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษา ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่สถานศึกษาเรียกเก็บตามที่ต้นสังกัด หรือสภาสถาบันอนุมัติให้เรียกเก็บได้
ค่าเล่าเรียนของการศึกษาไทยในอดีตเป็นอย่างไร ?
ย้อนกลับไปสมัยโบราณ เมืองไทยยังไม่มีสถานศึกษา หรือที่เรียกว่า “โรงเรียน” ให้กับเด็กไทยได้เล่าเรียนอย่างเป็นรูปธรรม สถานที่ที่ผู้คนสามารถหาวิชาความรู้ได้ นั่นคือ วัด หรือสำนักสงฆ์ ซึ่งไม่มีค่าเล่าเรียนที่จัดเก็บแบบเป็นเรื่องเป็นราว ส่วนใหญ่มักแลกมากับการช่วยเหลือในภารกิจต่าง ๆ ของวัด เช่น ทำความสะอาดวัด ช่วยพระพายเรือ ช่วยพระบิณฑบาต และอื่น ๆ เป็นต้น
ทว่าหากเป็นการหาความรู้ในขั้นสูงขึ้นไป ที่หาไม่ได้จากในวัด ส่วนใหญ่มักเป็นลูกหลานขุนนาง ที่มุ่งหาความรู้เฉพาะด้าน การแสวงความรู้ที่มีเฉพาะทางเหล่านี้ ต้องแลกมาด้วย “ค่าเล่าเรียน” ทั้งนี้มีข้อมูลในหนังสือราชอาณาจักรและชาวสยาม ของเซอร์ จอห์น เบาว์ริง ราชทูตชาวอังกฤษ ที่เคยบันทึกวิถีการศึกษาของคนไทยในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ มีบางช่วงบางตอนว่า…
“พระได้รับมอบหมายให้จัดการศึกษา และโรงเรียนอยู่ติดกับวัดโดยมาก ย่อมเป็นของธรรมดาอยู่เองที่การสอน ให้รู้คำสั่งสอนและประกอบพิธีกรรมทางพุทธศาสนา เป็นส่วนสำคัญมากของระบบการศึกษา พลเมืองชายส่วนหนึ่งอ่านและเขียนหนังสือออก แต่วิธีที่จะแสวงหาความรู้ชั้นสูง สาขาใดสาขาหนึ่งมีอยู่น้อย”
“ถึงกระนั้นก็ดี โดยเฉพาะในบรรดาขุนนาง ยังใฝ่ใจเรียนวิชาเครื่องจักรกลไก รู้จักใช้เครื่องมือเดินเรือและรู้วิชาปรัชญากันมาก ค่าเล่าเรียนตามปรกติในโรงเรียนสามัญที่กรุงเทพฯ เก็บจากเด็กชายคนละ 8 ดอลลาร์หรือ 35 ชิลลิงต่อปี และอีก 15 ดอลลาร์ เป็นค่าที่อยู่ เสื้อผ้า เครื่องเขียนและอื่น ๆ ชาวจีนที่รวยบางคนจ้างครูสอนส่วนตัวเดือนละ 8 ดอลลาร์ ห้องเรียนห้องหนึ่งอาจเช่าได้เดือนละ 2 ดอลลาร์ครึ่งหรือต่ำกว่านั้น การศึกษาสตรีถูกทอดทิ้ง ในประเทศสยาม มีสตรีอยู่น้อยคนที่อ่านหรือเขียนได้ อย่างไรก็ดี ในการแสดงละครภายในพระราชวัง สตรีคนหนึ่งบอกบทและพลิกหน้าบทละครได้อย่างแคล่วคล่องมาก” (ที่มา : การศึกษาไทยในอดีต กระทรวงศึกษาธิการ)
วิวัฒนาการค่าเล่าเรียนไทยในยุคต่อมา
หลังการปฏิรูปการศึกษา ในสมัยรัชกาลที่ 5 เกิดกระทรวงธรรมการ (กระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบัน) มีการก่อตั้งโรงเรียนสำหรับสามัญชน และเกิดการริเริ่มสร้างมหาวิทยาลัยขึ้น กระทั่งเข้าสู่สมัยรัชกาลที่ 6 เกิดกฎหมายด้านการศึกษาเป็นครั้งแรก นั่นคือ พระราชบัญญัติประถมศึกษา เพื่อขยายการศึกษาไปทั่วทั้งประเทศ
ผ่านมาอีกหลายสิบปี การศึกษาไทยพัฒนามากยิ่งขึ้น แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ค่าเล่าเรียน” กลายเป็นปัจจัยสำคัญ ที่คู่ขนานมากับการเรียน รวมถึงกลายเป็นทางเลือกด้านการศึกษาของผู้คนในสังคมด้วยเช่นกัน
ภาพรวมของค่าเล่าเรียนช่วง 30-40 ปีผ่านมา นักเรียนชั้นประถม หากเป็นโรงเรียนที่รัฐดูแล ค่าเทอมอยู่ที่หลักร้อยถึงหลักพันต้น ๆ แต่หากเป็นโรงเรียนประถมของเอกชน ค่าเทอมขยับไปที่หลักหมื่น ส่วนระดับมัธยม หากเป็นโรงเรียนที่รัฐดูแล ค่าเทอมอยู่ที่ 600-800 บาท ก่อนที่จะขยับขึ้นมาเป็นหลักพัน ส่วนโรงเรียนเอกชน เฉลี่ยอยู่ที่ 15,000-25,000 บาท
ค่าเทอมนักเรียนหลักสูตร ปวช. หากเป็นสายพาณิชยการ สถาบันของรัฐ อยู่ที่ 2,000-3,000 บาท ส่วนของเอกชน เริ่มต้น 15,000-20,000 บาท ส่วนนักเรียนสายอาชีวะ หากเป็นสถาบันของเอกชน เริ่มต้นที่ 15,000-20,000 บาท ส่วนสถาบันของรัฐ ค่าเทอมจะถูกกว่าราว 40-50% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชื่อเสียงและความนิยมของสถาบันนั้นๆ
ในระดับมหาวิทยาลัย หากเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ ค่าเทอมเฉลี่ยเทอมละ 2,000-5,000 บาท ส่วนมหาวิทยาลัยของเอกชน เริ่มต้นอยู่ที่ราว 15,000-25,000 บาท
จวบจนถึงปัจจุบัน ค่าเทอมขยับตัวขึ้นมา ระดับประถมศึกษาของรัฐ เฉลี่ยที่ 2,000-4,000 บาท แต่หากเป็นหลักสูตรพิเศษ ค่าเรียนจะเพิ่มเติมขึ้นไปอีก ส่วนของโรงเรียนเอกชน เฉลี่ยที่ 10,000-40,000 บาท ค่าเทอมระดับมัธยมต้น-ปลายของรัฐ 3,000-5,000 บาท กรณีเป็นหลักสูตรพิเศษ เช่น เรียนสองภาษา ค่าเทอมจะกระโดดไปที่หลักหมื่น
ส่วนในระดับมหาวิทยาลัยของรัฐ เฉลี่ยอยู่ที่ 13,000-50,000 บาท ส่วนของเอกชน เริ่มต้นที่ราว 25,000 บาทเป็นต้นไป นอกจากนี้ หลักสูตรการเรียนที่มีความพิเศษ หรือเป็นหลักสูตรภาคอินเตอร์ฯ ค่าเล่าเรียนอยู่ที่หลักแสนบาทขึ้นไป
จุดเปลี่ยน “ค่าเทอมสูงขึ้น” เกิดจากอะไร ?
ค่าเทอมในปัจจุบันมีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจ และค่าครองชีพ โดยมีข้อสังเกตที่น่าสนใจคือ การปรับตัวของบรรดามหาวิทยาลัยรัฐทั่วประเทศที่เรียกกันว่า “การออกจากระบบราชการ” จากมหาวิทยาลัยของรัฐ สู่การเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ โดยเริ่มมีแนวคิดนี้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531 และเริ่มมีมหาวิทยาลัยออกนอกระบบตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ. 2533 เป็นต้นมา ก่อนจะมีการผลักดันในช่วงปี พ.ศ. 2551
ในช่วงเวลาดังกล่าว มีการถกเถียงถึงข้อดี – ข้อเสียมากมาย ในส่วนของข้อดี มหาวิทยาลัยสามารถดำเนินงานบริหารจัดการได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องขึ้นอยู่กับข้อบังคับจากระเบียบราชการ ซึ่งเป็นการบังคับใช้กับหน่วยงานราชการทั้งหมด ขณะที่ก็ยังอยู่ในการกำกับของภาครัฐและได้รับเงินสนับสนุน
ส่วนข้อเสีย มีความกังวลที่จะเกิดการเข้าสู่ตลาดทุน ที่ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลเผยว่า ค่าเทอมในการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เริ่มมีการปรับสูงขึ้นมาตั้งแต่ก่อนออกนอกระบบ ทั้งนี้การออกนอกระบบของมหาวิทยาลัยบางแห่ง มาพร้อมนโยบายที่ทำให้ค่าเทอมเพิ่มขึ้น อาทิ นโยบายค่าเทอมแบบเหมาจ่าย รวมถึงค่าบำรุงคณะ ที่มีการปรับเพิ่มขึ้น 2 – 3 เท่าตัว
เมื่อ “ค่าเทอม” ของหลายสถาบัน มีการปรับตัวขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว ส่งผลถึงสถาบันที่ยังเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ หรือสถาบันที่ยังไม่ออกนอกระบบ มีการปรับค่าเทอมขึ้นตามด้วยเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม การจัดสรรงบประมาณจากรัฐต่อปีที่ราว 300,000 ล้านบาท ต่อระบบการศึกษาทั้งหมด แม้จะมีจำนวนมาก แต่หากดูรายละเอียด เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับ “บุคลากร” เป็นหลัก ขณะที่ในส่วนของงบการพัฒนาด้านการศึกษา ยังคงต้องพึ่งพาเงินจากค่าเทอม รวมถึงรายได้ส่วนอื่นที่มหาวิทยาลัยจะหาได้
อีกหนึ่งตัวแปรที่น่าสนใจ นั่นคือ การเปลี่ยนแปลงของจำนวนประชากรเด็กที่เกิดน้อยลง ส่งกระทบต่อภาคการศึกษา จากช่วงหนึ่งที่มหาวิทยาลัยเปิดรับนักศึกษา โดยเฉพาะภาคพิเศษ เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก เพื่อทั้งหารายได้ และเปิดรองรับจำนวนความต้องการในการศึกษาที่มีมากขึ้น
ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ เมื่อประชากรเด็กลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ รวมถึงค่านิยมใบปริญญาในสังคมลดน้อยลง ส่งผลให้จำนวน “นักเรียน-นักศึกษา” ลดลงตามไปด้วยเช่นกัน บางสถาบันการศึกษาต้องยุบคณะ หรือปิดสถาบันลง ขณะที่ “ต้นทุน” ยังเท่าเดิม ส่งผลให้สถาบันการศึกษา ต้องปรับอัตราค่าเทอมสูงขึ้น เพื่อให้ยังคงดำเนินการต่อไปได้ ปรากฏการณ์ลักษณะนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะเมืองไทย แต่ยังเกิดขึ้นกับสถานศึกษาหลายแห่งทั่วโลก
“ทุนการศึกษา” ทางเลือกในภาวะที่ค่าเทอมยังแพงอยู่
ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ค่าเทอม” รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา เป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้คนเข้าถึงการศึกษา รัฐธรรมนูญประเทศไทยได้กำหนดให้คนไทยมีสิทธิเข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐานได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย โดยในทางปฏิบัติ รัฐบาลมีการช่วยค่าใช้จ่าย หรือที่เรียกกันว่า “เงินอุดหนุนนักเรียนรายหัว” ทั้งค่าจัดการศึกษา ค่าเครื่องแบบ ค่าหนังสือเรียน
อย่างไรก็ตาม รัฐยังมีเครื่องมือในการเข้าถึงการศึกษา นั่นคือ “การมอบทุนการศึกษา” โดยมีลักษณะของทุนที่แตกต่างกันไป แต่เหนืออื่นใด คือการพยายามกระจายทุน ให้ “เข้าถึง” นักเรียนที่มีความต้องการในการรับทุนอย่างแท้จริง
ลักษณะของทุนการศึกษาในวันนี้ มีอะไรกันบ้าง…
ทุนความสามารถ
ทุนลักษณะนี้มีหลากหลายแบบด้วยกัน สามารถแบ่งแยกย่อยได้ 3 แบบดังนี้
- ทุนเรียนดี เป็นการแจกทุนให้กับเด็กเรียนดี มีพฤติกรรมดี โดยมีแหล่งทุนมาจากมูลนิธิต่าง ๆ รวมถึงสถานศึกษา ลักษณะการให้ทุนโดยส่วนใหญ่เป็นแบบให้เปล่า ไม่มีเงื่อนไขผูกมัด หรือบางแหล่งอาจผูกมัดเฉพาะผลการเรียน กรณีการให้ทุนแบบต่อเนื่อง
- ทุนความสามารถพิเศษ เป็นทุนที่แจกให้ตามความสามารถ หรือทักษะต่าง ๆ อาทิ การแข่งขันกีฬา ความสามารถด้านศิลปะ ดนตรี โดยส่วนใหญ่เป็นโควตาการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย
- ทุนอาชีพเฉพาะทาง เน้นการสร้างความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในสาขาอาชีพที่ต้องการส่งเสริมเป็นพิเศษ อาทิ แพทย์ งานช่าง งานด้านวิทยาศาสตร์เฉพาะทาง รวมถึงอาชีพด้านการเกษตร แหล่งทุนลักษณะนี้มีตั้งแต่มูลนิธิ ที่มีเป้าหมายถึงวิชาชีพเฉพาะ รวมถึงหน่วยงานรัฐเฉพาะทาง
ทุนเพื่อเด็กยากจนและผู้ด้อยโอกาส
ทุนประเภทนี้มีขึ้นเพื่อช่วยเหลือทางการเงินให้กับเด็กยากจนรวมถึงด้อยโอกาส อาจอยู่ในพื้นที่ห่างไกล รวมถึงมีความผิดปกติของร่างกาย ส่วนใหญ่มีข้อกำหนดเพียงผลการศึกษาผ่านเกณฑ์ และมีความประพฤติที่ดี
โดยมีแหล่งทุนเป็นสมาคม มูลนิธิ รวมถึงหน่วยงานรัฐ ได้แก่ มูลนิธิกองทุนการศึกษาเพื่อการพัฒนา EDF มูลนิธิเสริมกล้า มูลนิธิการศึกษาต่อเนื่อง และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) บางแหล่งทุนมีการช่วยเหลือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เกี่ยวเนื่องอย่างค่าครองชีพอีกด้วย
ทุนกู้ยืม
ทุนการศึกษาในลักษณะของการกู้ยืม มีขึ้นเพื่อช่วยเหลือด้านทุนการเรียน โดยให้กู้เงินไปก่อนและแบ่งชำระภายหลังในอัตราดอกเบี้ยต่ำ มีข้อกำหนดในส่วนของพฤติกรรมกับผลการศึกษาที่ต้องอยู่ในเกณฑ์เท่านั้น โดยไม่จำกัดเรื่องฐานะครอบครัว
หน่วยงานที่ช่วยเหลือให้กู้ยืมสำหรับการเรียน คือ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ขณะที่ กองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) อนุญาตให้กู้เฉพาะสาขาวิชาตามความต้องการของประเทศเท่านั้น
ส่องประเทศที่มีระบบการจ่ายค่าเทอมที่น่าสนใจ
ระบบการศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาประเทศ แต่ระบบการศึกษาจะดีหรือไม่ ต้องอาศัยปัจจัยอื่น ๆ เข้ามาส่งเสริม อาทิ ภาคการเมือง ตลอดจนวิธีการบริหาร และการให้ความสำคัญด้านการศึกษา
ที่ผ่านมา เคยมีประเทศที่ประสบความสำเร็จด้านการศึกษา ทั้งในเชิงคุณภาพการเรียนการสอน ตลอดจนเรื่องค่าเล่าเรียน ประเทศเหล่านี้มีปัจจัยอะไรอยู่เบื้องหลังกันบ้าง
- ประเทศแถบสแกนดิเนเวีย ระบบการศึกษาจากรัฐสวัสดิการที่โด่งดังไปทั่วโลก
ฟินแลนด์ สวีเดน นอร์เวย์ เดนมาร์ก รวมถึงประเทศในกลุ่มนอดิกอย่าง ไอซ์แลนด์ ต่างได้รับการยอมรับว่า มีระบบการศึกษาที่ดีในนิยามของการศึกษาที่มีคุณภาพ มีผลการเรียนที่ดี และสามารถทำให้คนเข้าถึงการศึกษาได้
ทั้งนี้มีงานวิจัยและการวิเคราะห์จากนักสังคมวิทยา Herald Eia เรื่องปัจจัยที่ทำให้ประเทศเหล่านี้ ต่างประสบความสำเร็จด้านการศึกษา เนื่องจากระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยสังคมนิยม ที่เน้นรัฐสวัสดิการ และการสร้างความเท่าเทียม จึงเป็นที่มาของระบบรัฐสวัสดิการและระบบภาษี ช่วยให้เกิดการเรียนฟรีขึ้น เพื่อให้คนทุกคนได้รับการศึกษา และสามารถเข้าถึงโอกาสในการขยับสถานะทางสังคมได้เท่าเทียมกัน
- เอสโตเนีย ประเทศแห่งการศึกษาที่เท่าเทียมและมีคุณภาพ
เอสโตเนียเป็นอีกประเทศที่มีนโยบายเน้นความเท่าเทียมในการเข้าถึงการศึกษา เบื้องหลังคือการปรับตัวเป็นรัฐบาลดิจิทัลได้สำเร็จ จนได้ชื่อว่า e-Estonia ถือเป็นปัจจัยเสริมสำคัญที่รัฐบาลจัดให้เกิดการศึกษาแบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ นักเรียนทุกคนมีตารางเรียน การสอบ การเรียน รวมถึงห้องสมุดออนไลน์
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตและการพัฒนาคน ซึ่งมาช่วยเพิ่มให้การศึกษาดีขึ้น เช่น สวัสดิการลางานแบบมีรายได้ ทำให้แม่ได้ดูแลลูกอย่างเต็มที่ก่อนเข้าเรียน การเรียนฟรีที่รวมไปถึงค่าหนังสือ ค่าอาหาร ค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาเรียน
“ค่าเทอม” ยังเป็นสิ่งที่คู่กับสถาบันการศึกษา ทว่าสิ่งสำคัญมากกว่าเรื่องค่าเทอมที่สูงขึ้น คือการบริหารจัดการ “ค่าใช้จ่ายทางการศึกษา” ที่ต้องอยู่บนหลักการความถูกต้อง ตลอดจนความเหมาะสม เพราะที่สุดคงไม่มีนักเรียนคนไหนอยากเรียนหนังสือแพง ๆ แม้จะทราบดีว่า การเรียนนั้นทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นก็ตาม...
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
-“เรียนฟรีทิพย์” เช็กส่วนต่างค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา
-เช็กเงินอุดหนุนรายหัวนักเรียน 2567 ระดับอนุบาล-ม.ปลาย
-เศรษฐกิจน่ารู้ : การเรียนใน “มหาวิทยาลัย” กำลังเสื่อมความนิยม
อ้างอิง
-Where in the world is it easiest to get rich? | Harald Eia | TEDxOslo
-การศึกษานโยบายรัฐสวัสดิการในประเทศสแกนดิเนเวียกับความเป็นไปได้ในการนำมาปรับใช้กับประเทศไทย
-Insights from the Education Nation: The Case of Estonia
-ปักหมุด 7 ทุนทางเลือก ที่ครูไม่ควรพลาด!!