ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

เมื่ออนาคตที่ดี มีพื้นที่จำกัด เปิดที่มา ทำไมนักเรียนไทยถึงการแข่งขันสูง


Insight

7 มี.ค. 68

Thai PBS Digital Media

Logo Thai PBS
แชร์

เมื่ออนาคตที่ดี มีพื้นที่จำกัด เปิดที่มา ทำไมนักเรียนไทยถึงการแข่งขันสูง

https://www.thaipbs.or.th/now/content/932

เมื่ออนาคตที่ดี มีพื้นที่จำกัด  เปิดที่มา ทำไมนักเรียนไทยถึงการแข่งขันสูง
บริการเสริมจาก Thai PBS AI

 

“เกิดเป็นนักเรียนไทย ต้องสู้สุดใจ” ประโยคนี้อาจกำลังก้องอยู่ในใจนักเรียนไทยหลายคน เพราะเรื่องที่ต้อง “สู้สุดใจ” คือการสอบแข่งขัน ไม่ว่าจะในระดับอนุบาล ประถม มัธยม ไปจนมหาวิทยาลัย 

ภาพของการสอบแข่งขันอันเข้มข้น กลายเป็นสิ่งที่ผู้คนในสังคมเห็นจนชินตา ล่าสุดกับปรากฏการณ์สอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลายชื่อดังแห่งหนึ่ง ที่มีจำนวนผู้เข้าสอบแข่งขันหลักหมื่น แต่รับเข้าเรียนได้เพียงหลักพัน ล่าสุดกับการสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาที่มียอดผู้เข้าสอบสูงสุดในรอบ 15 ปี

ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรก และไม่ได้เกิดขึ้นครั้งเดียว เพราะวิถีแห่งการสอบแข่งขันเพื่อ “เข้าโรงเรียนดี ๆ” ยังคงเป็นวัตรปฏิบัติของสังคมไทย เนื่องจากการเข้าเรียนต่อในโรงเรียนดีมีมาตรฐาน เท่ากับ วางรากฐานสู่อนาคตที่ดี

Thai PBS ชวนอ่านเส้นทางแห่งสอบแข่งขันแบบไทย ๆ พร้อมหาคำตอบว่า เหตุใด นักเรียนไทยถึงต้องแข่งขันกัน “ดุเดือด” ขนาดนี้ มี “ทางเลือก” ให้นักเรียนไทยเดินทางไปสู่อนาคตที่ดีอีกหรือไม่ ไปหาคำตอบร่วมกัน...

ย้อนเส้นทาง “การสอบ” นักเรียนไทย

กระบวนการสอบคัดเลือก เกิดขึ้นในสังคมไทยมายาวนาน แต่ที่เป็นภาพจำต่อผู้คนในสังคมมาตลอด คือการสอบคัดเลือกเข้าสถาบันการศึกษา โดยเฉพาะการสอบเข้ามหาวิทยาลัย หรือ “เอนทรานซ์” 

เนื่องจากค่านิยมคนไทยในยุคก่อน ยึดถือกันว่า การเรียนจบระดับมหาวิทยาลัย เป็นใบเบิกทางสู่ความสำเร็จในชีวิต ดังนั้น การสอบเข้ามหาวิทยาลัยจึงกลายเป็นการตัดสินอนาคตของนักเรียนจำนวนมากไปโดยปริยาย

โจทย์ต่อมาที่เกิดขึ้นในครอบครัว คือทำอย่างไรให้ลูกหลานสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ? ผลลัพธ์คือ การปลูกฝังให้เรียนในสถานศึกษาที่ดี มีคุณภาพ นับตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล ประถม ไปจนมัธยมปลาย 

หากแต่คำว่า “สถานศึกษาดี มีคุณภาพ” กลับไม่เพียงพอผู้คนในสังคม การสอบแข่งขันเพื่อคัดเลือกเข้าสู่สถาบัน “คุณภาพ” จึงเกิดขึ้น ยิ่งเมื่อประชากรมีจำนวนมากเข้า แต่ค่านิยมของผู้คนในสังคมยังคงเดิม เหตุการณ์ที่นำไปสู่สภาวะ “นักเรียนล้นสนามสอบ” จึงปรากฏให้เห็นเรื่อยมา

ภาพการสอบเข้า รร.มัธยมชื่อดัง มีผู้เข้าสอบคัดเลือกนับหมื่นคน

ปัจจัยอะไรที่ทำให้ภาวะการแข่งขันสูง เป็นที่มาของปรากฏการณ์ “นักเรียนล้นสนามสอบ” ?

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิด “ภาวะการแข่งขันสูง” ส่วนหนึ่งเกิดจากความไม่เชื่อมั่นในคุณภาพการศึกษาที่เท่าเทียม ทำให้ความต้องการในการสอบเข้าสถาบันที่มีชื่อเสียง มีปริมาณที่สูงอย่างต่อเนื่อง 

นอกจากนี้ยังมีเหตุผลอื่น ๆ ที่เป็นแรงสนับสนุนให้ครอบครัวมุ่งมั่นพาลูกหลานลงสนามสอบแข่งขันในโรงเรียนชื่อดัง เช่น…

  • มาตรฐานของโรงเรียนที่มีความแตกต่างกัน การลงสอบแข่งขันของนักเรียนเหล่านี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ ต้องการได้รับการศึกษาที่มีมาตรฐานกว่าเดิม
  • โอกาสในการเข้าถึงข้อมูลการศึกษาที่มากขึ้น กล่าวคือ สถาบันที่สอบเข้าศึกษาต่อ มีแหล่งข้อมูลทางการศึกษา ที่สามารถต่อยอดไปสู่การสอบเข้าในระดับมหาวิทยาลัยได้
  • สิ่งแวดล้อมเอื้อต่อการไปต่อในระดับมหาวิทยาลัย เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า เมื่ออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่พรั่งพร้อมด้านการศึกษา เช่น มีครูที่ดี มีเพื่อนที่เก่ง มีอุปกรณ์การเรียนที่พร้อม ตลอดจนมีข้อมูลทางวิชาการที่เป็นประโยชน์ ไม่นับรวมเรื่องการมี “รุ่นพี่” ที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ มาช่วยติว ช่วยสอน โอกาสที่จะทำให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้จึงมีสูงเช่นกัน

เมื่อนักเรียนไทย ตกอยู่ในสังคมแห่งการแข่งขัน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

Thai PBS ร่วมพูดคุยกับ ผศ. อรรถพล อนันตวรสกุล อาจารย์ประจําและผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงปรากฏการณ์ “นักเรียนล้นสนามสอบ” ซึ่งภาพเหล่านี้เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง เพราะแท้จริงแล้ว ยังมีอีกหลายสนามสอบที่การแข่งขันสูงยิ่งกว่า 

ทั้งหมดทั้งมวล ผศ.อรรถพล บอกว่า เรื่องเหล่านี้สะท้อนถึงความไม่เชื่อมั่นว่าทุกโรงเรียนจะสามารถมอบการศึกษาที่มีคุณภาพเท่าเทียมกันได้

“การสอบแข่งขันลักษณะนี้มีมานานแล้ว หากพิจารณาจากอัตราการรับกับเด็กที่สอบ การแข่งขันในระดับอนุบาล หรือประถม หลายครั้งมีการแข่งขันที่สูงกว่าการสอบในระดับมัธยมที่เป็นข่าวเสียอีก เหล่านี้สะท้อนถึงความไม่เชื่อมั่นว่าทุกโรงเรียนจะมีคุณภาพเพียงพอ”

ผศ. อรรถพล อนันตวรสกุล แห่งคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

กรณีเรื่องค่านิยมในการสอบเข้าแต่โรงเรียนดี ๆ มีชื่อเสียง ผศ. อรรถพล มองว่า มาจากการสอบแข่งขันที่คัดเอาเด็กเก่ง ซึ่งมีทั้งเก่งด้วยพรสวรรค์ และเก่งจากการมีความรับผิดชอบ ซึ่งการรวมเอาเด็กเก่งมาอยู่ด้วยกัน ย่อมสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อให้เด็กมีผลการเรียนดีขึ้น เมื่อเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ขึ้นซ้ำ ๆ บ่อยครั้งเข้า จึงเหมือนเป็นการตอกย้ำความเชื่อว่า สถาบันการเรียนนั้น ๆ ดี จนส่งต่อมาจนถึงปัจจุบัน

“แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือเด็ก โดยเฉพาะเด็กเก่ง ที่อาจจะถูกทำให้ต้องแข่งขันตลอดชีวิต ต้องแข่งเพื่อเป็นหมอ เป็นวิศวกร ท้ายที่สุดหากเด็กพบว่าตัวเองไม่ชอบ มันกลายเป็นการแข่งขันที่สูญเปล่า ซึ่งเรามีเด็กที่พ่ายแพ้มากมาย ทิ้งเด็กไว้มากมายในการแข่งขันเหล่านี้”

ประเด็นผลกระทบจากวัฒนธรรมการแข่งขัน ผศ. อรรถพล เผยมุมมองที่น่าสนใจว่า การสอบแข่งขันของเด็ก ๆ แท้จริงเป็นเกมที่ไม่เป็นธรรม เพราะผู้แข่งขันไม่ใช่แค่เหล่าเด็ก ๆ แต่ยังรวมถึงพ่อแม่ที่ต้องใช้จ่ายเงิน ค่าเรียนพิเศษ ค่าเดินทาง ค่าเข้าสอบต่าง ๆ ซึ่งมีเด็กมากมายที่พ่อแม่ไม่สามารถสนับสนุนได้ และกลายเป็นการแข่งขันที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้นของชนชั้นกลางเท่านั้น

“มีเด็กจำนวนหนึ่งเป็นผู้แพ้ของระบบนี้ ที่ผ่านมา เคยเกิดปรากฏการณ์ที่มีเด็กได้ที่เรียนมหาวิทยาลัยถึง 15 คณะ คือต้องมีเงินเยอะมากถึงจะสอบขนาดนี้ได้ เกมนี้จึงไม่แฟร์กับเด็กคนอื่น ๆ ที่ไม่มีโอกาส เพราะต้องใช้จ่ายเยอะ ทั้งสนามสอบแข่งขัน สนามการยื่นพอร์ต เด็ก ๆ หลายคนต้องยอมจำนนกับสนามเหล่านี้ ในมุมกลับกัน ทุกวันนี้เด็กเกิดน้อยลง แต่เราก็ยังปล่อยให้เด็กแข่งขันกันในเกมที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งมีพ่อแม่มาร่วมเป็นผู้เล่นด้วยต่อไป”

ไม่ใช่แค่ “ไทย” ยังมีปรากฏการณ์ “สอบแข่งขัน” อีกหลายแห่ง 

“การสอบแข่งขัน” ดูเหมือนจะเกิดขึ้นอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะในประเทศแถบเอเชีย ผศ. อรรถพล เผยข้อมูลว่า ปรากฏการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นในประเทศเกาหลีใต้ สิงคโปร์ รวมถึงไต้หวัน 

โดยประเทศเกาหลีใต้สถานการณ์ค่อนข้างน่าเป็นห่วง แม้จะมีระดับคะแนน PISA (เกณฑ์วัดความเป็นเลิศด้านการศึกษา) สูง แต่เด็กไม่มีความสุข จนมีการออกกฎหมายห้ามติวหนังสือเกินเวลาที่รัฐบาลกำหนด

“เกาหลีใต้เริ่มตระหนักถึงปัญหานี้ มีนโยบายแก้ปัญหา ทั้งการออกกฎหมายควบคุมและพยายามลดน้ำหนักของคะแนนให้น้อยในการพิจารณาสอบเข้า ขณะที่ญี่ปุ่น ปัญหานี้ค่อย ๆ คลี่คลายลงไป เพราะอัตราการเกิดของเด็กน้อยมาก และสังคมยอมรับให้เด็กจบมัธยมเข้าทำงานได้เป็นเรื่องปกติ มหาวิทยาลัยจึงมีที่ว่างและมีการแข่งขันกันน้อย ทางด้านสิงคโปร์มีการผลักดันให้ความสำคัญกับการเรียนสายอาชีวะมากขึ้น และสามารถสลับจากสายอาชีวะกลับมาเรียนสายสามัญได้”

มองวิกฤตให้เป็นโอกาส จากปรากฏการณ์ “นักเรียนล้นสนามสอบ” สู่การเปลี่ยนมุมมองการศึกษาไทยให้เหมาะสมและยั่งยืน

ในขณะที่หลายประเทศ มีความพยายามปฏิรูปการศึกษา เพื่อแก้ปัญหาภาวะการแข่งขันสูง จนส่งผลให้เด็กนักเรียนเกิดความเครียด หันกลับมาที่สังคมไทย ผศ. อรรถพล มองว่าการที่สังคมได้เห็นภาพเด็กจำนวนมากมาสอบแข่งขันแล้วเกิดการตั้งคำถามขึ้น ถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้หาทางออกร่วมกัน

“ปัญหานี้มีมายาวนาน แต่เราไม่เคยตั้งคำถามกับมันเท่าที่ควร นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สังคมจะได้ฉุกคิดขึ้นมา การแข่งขันเหล่านี้จริง ๆ แล้ว เป็นเกมไม่แฟร์ และไม่การันตีคุณภาพ เพราะเด็กอาจไม่ได้ทำในสิ่งที่ชอบ แถมเกมนี้ยังดันเด็กจากความเก่ง มั่นใจว่าแข่งชนะแล้วจะมีงานที่ดีรออยู่ แต่โลกของงานที่รออยู่มันต่างออกไป จึงทำให้เราได้เห็น เด็กจบหมอ จบวิศวะ ไม่ทำงานตรงสาย เพราะยุคที่ใบปริญญาเป็นสิ่งสำคัญอาจจะจบลงแล้ว แต่ค่านิยมในสังคมยังปรับไม่ทัน” 

ผศ.อรรพล เพิ่มเติมว่า ในมุมด้านการศึกษา ต่อไปควรให้ความสำคัญกับความชอบของเด็กมากขึ้น ขณะที่ในภาคส่วนอื่น ๆ ของสังคม ควรมีการให้คุณค่า รวมถึงค่าตอบแทนของแต่ละอาชีพ ให้ใกล้เคียงกันกว่าที่เป็นอยู่ 

“เราควรให้คุณค่ากับสายอาชีพอื่น ๆ ด้วย ประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่ มักจะทำให้รายได้ของอาชีพต่าง ๆ ไม่แตกต่างกันมากนัก แต่บ้านเรา คนจบวิศวะ เงินเดือนเป็นแสน ส่วนคนจบช่าง รายได้หลักหมื่น ถ้าเราลดช่องว่างของรายได้ลงได้ จะทำให้เด็ก ๆ มีทางเลือกในการเรียนที่มากขึ้น อัตราการสอบแข่งขันก็จะเปิดกว้าง และลดความเข้มข้นลงไปได้”

“อีกเรื่องที่เป็นเรื่องใหญ่คือโรงเรียน ครูแนะแนวไม่ใช่แค่ทำหน้าที่เพียงให้นักเรียนยื่นหาที่เรียนต่อเท่านั้น ต้องช่วยให้เด็กค้นหาตัวเองให้เจอ ไม่ใช่ให้เด็กแข่งขันเพื่อชื่อเสียงของพ่อแม่ เพื่อชื่อเสียงของโรงเรียน เด็กควรได้แข่งเพื่อตัวเองอย่างแท้จริง”

“อนาคตที่ดี” ใคร ๆ ก็อยากมี แต่หนทางที่จะมีอนาคตดี ๆ ควรตั้งอยู่บนความพอเหมาะพอดีด้วยเช่นกัน ค้นหา “ความเหมาะสม” ให้เจอ เพื่อความสุขของชีวิต และความสำเร็จที่ยั่งยืน…

แท็กที่เกี่ยวข้อง

นักเรียนไทยนักเรียนล้นสนามสอบนักเรียนไทยแข่งขันสูงเอนทรานซ์เตรียมอุดม
ผู้เขียน: Thai PBS Digital Media

บทความ NOW แนะนำ

ข่าวล่าสุด