ภารกิจอาร์ทีมิส 3 ของสหรัฐอเมริกา มีแผนพานักบินอวกาศกลับไปลงจอดบนดวงจันทร์อีกครั้งที่บริเวณขั้วใต้ ซึ่งเป็นบริเวณที่แปลกประหลาด แตกต่างจากขั้วใต้ของโลกเราโดยสิ้นเชิง ในบทความนี้จะมาพาสำรวจปรากฏการณ์ที่เหล่านักบินอวกาศจะได้พบเมื่อพวกเขาไปถึง
1. พระอาทิตย์ที่เส้นขอบฟ้าพร้อมเงาขนาดมหึมา
ณ ตำแหน่งขั้วใต้ของดวงจันทร์ เราจะพบกับเงาขนาดใหญ่ที่สามารถลากยาวไปได้มากถึง 80 กิโลเมตร เนื่องจากบริเวณนี้ ดวงอาทิตย์จะอยู่ที่ขอบฟ้าของพื้นผิวดวงจันทร์ ประกอบกับชั้นบรรยากาศที่บางเบา ทำให้ไม่เกิดการกระเจิงของแสงเหมือนที่เกิดขึ้นบนโลก เงาที่เกิดขึ้นจึงสามารถลากยาวไปได้ไกล และนักบินอวกาศบนพื้นผิวจะไม่ได้เห็นดวงอาทิตย์ขึ้นและตกเหมือนบริเวณอื่น ๆ แต่จะเห็นดวงอาทิตย์โคจรไปรอบ ๆ พวกเขา เหมือนช่วงพระอาทิตย์เที่ยงคืนช่วงฤดูร้อนของประเทศในแถบขั้วโลก
2. ฝุ่นที่แหลมคม
เนื่องจากดวงจันทร์ไม่มีชั้นบรรยากาศและน้ำที่เป็นของเหลว ฝุ่นที่เกิดขึ้นจึงไม่ถูกลบคมจากการเสียดสีของลมและน้ำ อีกทั้งลมสุริยะที่พุ่งชนพื้นผิวและเหล่าเม็ดฝุ่นก็ยิ่งทำให้มันแหลมคมมากขึ้นอีกด้วย และความคมของฝุ่นเหล่านี้ก็อาจส่งผลต่อร่างกายของนักบินอวกาศและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในยานอวกาศ
3. ไฟฟ้าสถิตที่เต็มไปหมด
เพราะดวงจันทร์ไม่มีชั้นบรรยากาศและสนามแม่เหล็กเหมือนกับบนโลก ดังนั้นอนุภาคที่มีประจุจากดวงอาทิตย์ย่อมสามารถพุ่งมาชนพื้นผิวและฝุ่นบนดวงจันทร์ได้ตลอดเวลา ฝุ่นบนดวงจันทร์จึงมีประจุ และประจุเหล่านี้ก็พร้อมจะทำให้ฝุ่นเกาะไปกับทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งชุดนักบินอวกาศ พื้นผิวของยานอวกาศ และบนร่างกาย NASA จึงจำเป็นต้องออกแบบระบบกำจัดฝุ่นจากไฟฟ้าสถิตเพื่อกำจัดฝุ่นเหล่านี้ให้หมดไปจากพื้นผิว เพื่อสุขอนามัยที่ดีของนักบินอวกาศและระบบระบายความร้อน
4. ร่างกายที่รู้สึกเบาหวิว
แน่นอนว่าดวงจันทร์มีแรงโน้มถ่วงที่น้อยกว่าโลกถึง 6 เท่า นักบินอวกาศที่เกิดและเติบโตบนโลกจะรู้สึกร่างกายของตัวเองเบาหวิวบนดวงจันทร์ ถึงแม้พวกเขาจะใส่ชุดนักบินอวกาศที่ทำให้น้ำหนักรวมของพวกเขามากกว่า 100 กิโลกรัมก็ตาม การออกแรงเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้คุณลอยสูงกว่าบนโลกได้หลายเท่า ซึ่งเป็นความรู้สึกที่เบาหวิวที่ไม่ชินและทำให้นักบินอวกาศหลายคนในอดีตล้มหน้าคะมำบนพื้นมาแล้วหลายครั้ง
5. ปรากฏการณ์โลกเสี้ยว
เมื่อคุณแหงนหน้ามองพระจันทร์จากบนพื้นโลก คุณจะพบกับพระจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้าได้ในบางครั้ง และนักบินอวกาศที่มองโลกจากบนดวงจันทร์ ก็ย่อมเห็นโลกที่ค่อย ๆ หมุนนั้นมีเสี้ยวที่ค่อย ๆ เกิดขึ้น ซึ่งปรากฏการณ์โลกเสี้ยวนี้จะมองเห็นได้เฉพาะบนดวงจันทร์เท่านั้น
6. ขอบฟ้าที่ใกล้ขึ้น
เพราะดวงจันทร์มีขนาดที่เล็กกว่าโลกถึง 4 เท่า ขอบฟ้าที่เกิดจากความโค้งของผิวดวงจันทร์เราก็จะมองได้เห็นน้อยกว่าบนโลก เราสามารถมองเห็นขอบฟ้าบนโลกเป็นเส้นตรงออกไปและมองเห็นสุดขอบฟ้าได้ที่ระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร แต่บนดวงจันทร์เรามองเห็นขอบฟ้าที่ระยะประมาณ 2 กิโลเมตร ซึ่งคงเป็นความรู้สึกที่ขอบฟ้าใกล้ขึ้นและแปลกใหม่มากกว่าการมองขอบฟ้าบนโลกเป็นแน่
7. อุณหภูมิที่แปรปรวน
บนพื้นผิวของดวงจันทร์มีอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและแปรปรวนมาก ในบริเวณที่มืดและอยู่ใต้เงาอาจจะมีอุณหภูมิ -200 องศาเซลเซียส แต่บริเวณที่โดนแสงอาทิตย์อุณหภูมิอาจเพิ่มขึ้นได้มากถึง 100 องศาเซลเซียสได้เลยทีเดียว
8. ท้องฟ้าสีดำ
เพราะดวงจันทร์ไม่มีชั้นบรรยากาศ ท้องฟ้าที่เรามองเห็นบนพื้นผิวของดวงจันทร์นั้นเรียกได้ว่าไม่มีอะไรมาขวางกั้นตาของนักบินอวกาศกับห้วงอวกาศลึกได้ สีของท้องฟ้าจะเห็นเป็นสีที่ดำสนิทในช่วงเวลากลางวัน และมืดมากพอที่จะสามารถมองเห็นดาวมากมายที่มองเห็นได้ชัดกว่าบนโลกในช่วงเวลากลางคืน นักบินอวกาศที่แหงนหน้ามองท้องฟ้าในยามค่ำคืนของดวงจันทร์จะได้เห็นวิวท้องฟ้าที่น้อยคนนักจะได้มองเห็น
9. พื้นผิวที่ขรุขระ
และเพราะดวงจันทร์ไม่มีชั้นบรรยากาศ การพุ่งชนของอุกกาบาตบนพื้นผิวของดวงจันทร์จึงรุนแรงและทิ้งร่องรอยของความเสียหายที่ชัดเจน เป็นรอยตะปุ่มตะป่ำตั้งแต่หลุมอุกกาบาตขนาดเล็กไปจนถึงหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่หลักกิโลเมตร และเทือกเขาขนาดใหญ่ที่เกิดจากการชนกันของอุกกาบาตและปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนแปลงพื้นผิวของดวงจันทร์ในอดีต
ทั้ง 9 ปรากฏการณ์คือสิ่งที่นักบินอวกาศที่เดินทางไปลงจอดบนดวงจันทร์จะได้พบ ซึ่งยังมีปรากฏการณ์อีกมากที่พวกเขาจะพบและกลับมาบอกกับพวกเราเป็นองค์ความรู้ใหม่ที่เติมเต็มความสงสัยใคร่รู้ของพวกเรา
🎧 อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS
ที่มาข้อมูล : NASA
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech