อาการแบบไหน ? สัญญาณเตือน “โลหะหนัก” ตกค้างในร่างกาย


วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

5 เม.ย. 67

จิราภพ ทวีสูงส่ง

Logo Thai PBS
แชร์

อาการแบบไหน ? สัญญาณเตือน “โลหะหนัก” ตกค้างในร่างกาย

https://www.thaipbs.or.th/now/content/1027

อาการแบบไหน ? สัญญาณเตือน “โลหะหนัก” ตกค้างในร่างกาย
บริการเสริมจาก Thai PBS AI

รู้หรือไม่ ? ว่า “ร่างกายของเรา” มักได้รับสารพิษสะสมเข้าไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา เช่น โลหะหนัก ต่าง ๆ (อะลูมิเนียม, แคดเมียม, ตะกั่ว, ปรอท, สารหนู) เมื่อร่างกายมีการสะสมในปริมาณที่มากเกินจะส่งผลต่อสุขภาพ เช่น เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคเรื้อรังไม่ติดต่อ (NCDs) รวมถึงการเกิดมะเร็งได้

ใคร ? ควรตรวจ “โลหะหนัก”

- ผู้ที่อยากดูแลสุขภาพ
- ผู้ที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ หรือใกล้แหล่งโรงงาน
- ผู้ที่เผชิญฝุ่นควันและมลภาวะบนท้องถนนเป็นประจำ
- ผู้ที่ชอบทำสีผม ทำเล็บ รวมถึงช่างทำผม
- ผู้ที่ชอบรับประอาหารทะเลเป็นประจำ
- ผู้ที่มีวัสดุอุดฟันที่ทำจากสารอะมัลกัม (วัสดุอุดฟันสีเงิน)

ช่องทาง “โลหะหนัก” เข้าสู่ร่างกาย

- การรับประทาน
- ทางเดินหายใจ
- สัมผัสทางผิวหนัง

“อาการเตือน” เมื่อโลหะหนักเข้าสู่ร่างกาย

- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย อ่อนแรง
- ปวดศีรษะบ่อย
- นอนไม่หลับ สมาธิไม่ดี
- ผื่นภูมิแพ้ ลมพิษ
- หอบหืด หายใจติดขัด
- ท้องเสีย คลื่นไส้ ปวดท้อง อาเจียน

นอกจากนี้ การมีโลหะหนักตกค้างในร่างกายมากเกินไป จะเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคมะเร็ง ได้อีกด้วย

📌อ่าน : 5 โลหะหนัก พบบ่อยในชีวิตประจำวัน

มีความเสี่ยงจากพิษโลหะหนักหรือไม่ ? รู้ได้ด้วยการตรวจ

หากมีข้อสงสัยว่าตัวเองอาจได้รับพิษจากโลหะหนักมากเกินไป จนอาจส่งผลกระทบต่อร่างกาย แนะนำให้เข้ารับการตรวจสารโลหะหนักที่อยู่ในร่างกาย โดยสามารถทำได้หลายวิธีทั้งจากเลือด ปัสสาวะ และเหงื่อ แต่วิธีที่นิยมที่สุดก็คือการ “ตรวจเลือด” เนื่องจากทำได้ง่ายและวิเคราะห์ผลได้อย่างแม่นยำ ซึ่งการตรวจสารโลหะหนักแม้จะไม่ใช่วิธีการรักษาโรค แต่เป็นการตรวจเพื่อป้องกันการเพิ่มขึ้นของปริมาณโลหะหนักในร่างกาย

ทั้งนี้ การตรวจเลือดและตรวจปัสสาวะ ต้องใช้ระยะเวลาในการรอผลจากห้องปฏิบัติการ 5-7 วัน โดยผู้เข้ารับการตรวจต้องงดน้ำงดอาหาร และควรหลีกเลี่ยงการตรวจในช่วงที่มีประจำเดือน ซึ่งขั้นตอนในการตรวจก็จะมีการเจาะเลือด และเก็บตัวอย่างปัสสาวะเหมือนการตรวจสุขภาพทั่วไป

วิธีกำจัด “โลหะหนัก” ในร่างกาย

แม้ว่าโดยทั่วไป ร่างกายของเราจะสามารถกำจัด “โลหะหนัก” ออกไปเองได้ โดยผ่านทางเหงื่อและทางปัสสาวะ แต่จะใช้เวลานาน เพราะโลหะมักจะจับตัวอยู่ในเนื้อเยื่อสำคัญ เช่น ในสมอง ทำให้ไม่สามารถขับออกมาแบบปกติได้ ต้องอาศัยตัวช่วยในการจับออกมา

ดังนั้น “แนวทางในการรักษา” อาจต้องรับประทานยาซึ่งเป็นการรักษาในระยะยาว โดยทำควบคู่ไปกับการใช้สารที่กำจัดโลหะหนักผ่านทางหลอดเลือด รวมถึงอาจต้องใช้วิธี Toxic Clearing ซึ่งก็คือ นวัตกรรมการบำบัดโดยการล้างพิษและขจัดของเสียที่สะสมภายในร่างกายผ่านวิตามินบำบัดสูตรกำจัดสารพิษ (Chelation) ด้วยการให้วิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ ทางหลอดเลือดดำ (IV Drip) เพื่อเข้าไปจับสารโลหะหนักที่เป็นพิษและขับออกมาผ่านทางปัสสาวะ โดยใช้เวลาการให้วิตามินประมาณ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง ซึ่งควรทำภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง


🎧 อัปเดตข้อมูแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS  

แหล่งข้อมูลอ้างอิง : พญ.กอบกุลยา จึงประเสริฐศรี โรงพยาบาลพญาไท 2, พญ.กานต์พิชชา พตั่งฮวดพาเจริญ ศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัย โรงพยาบาลพญาไท 3

“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech

แท็กที่เกี่ยวข้อง

โลหะหนักธาตุกลุ่มโลหะหนักโลหะหนักตกค้างโลหะหนักตกค้างในร่างกายแคดเมียมวิทยาศาสตร์Thai PBS Sci And Tech Thai PBS Sci & Tech Science
จิราภพ ทวีสูงส่ง
ผู้เขียน: จิราภพ ทวีสูงส่ง

เจ้าหน้าที่เนื้อหาดิจิทัล สำนักสื่อดิจิทัล ไทยพีบีเอส / Specialist Contents / Journalist / Writer / Creative Copywriter / Proofreader Lover : (jiraphob.thawisoonsong@gmail.com)

บทความ NOW แนะนำ

ข่าวล่าสุด