ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

เบื้องหลังโจมตีแคชเมียร์จุดชนวนขัดแย้ง "อินเดีย-ปากีสถาน"

ต่างประเทศ
25 เม.ย. 68
13:19
274
Logo Thai PBS
เบื้องหลังโจมตีแคชเมียร์จุดชนวนขัดแย้ง "อินเดีย-ปากีสถาน"
อ่านให้ฟัง
07:08อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียและปากีสถานดำดิ่งลงใกล้จุดต่ำสุดในรอบหลายปี หลังเกิดเหตุโจมตีนักท่องเที่ยวในแคชเมียร์จนมีผู้เสียชีวิต 26 คน ซึ่งทั้งสองชาติแลกหมัดประกาศมาตรการตอบโต้ ท่ามกลางความกังวลว่าความขัดแย้งระลอกนี้อาจบานปลายไปสู่การจับอาวุธ

เหตุกราดยิงนักท่องเที่ยวที่พาฮาลแกม เมื่อวันที่ 22 เม.ย.2568 ถือเป็นเหตุโจมตีในแคชเมียร์ครั้งรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2019 จุดชนวนความขัดแย้งระลอกใหม่กับปากีสถาน ที่อินเดียชี้นิ้วว่าคอยให้ท้ายกลุ่มติดอาวุธที่ก่อเหตุรุนแรง

เหตุการณ์นี้ผิดแผกไปจากเหตุร้ายในอดีต เพราะครั้งนี้พุ่งเป้าไปที่การโจมตีนักท่องเที่ยว ต่างจากเหตุร้ายส่วนใหญ่ในแคชเมียร์ที่ก่อนหน้านี้เป้าหมายมักกระจุกตัวอยู่เฉพาะกลุ่มเจ้าหน้าที่ความมั่นคง

ภาพผลพวงของเหตุร้ายที่เกิดขึ้นนำมาซึ่งคำถามว่าเหตุใตจึงต้องมาก่อเหตุตอนนี้ คำตอบอาจเป็นที่จังหวะเวลา นอกจากจะเป็นฤดูท่องเที่ยวกลางฤดูใบไม้ผลิที่มีคนจำนวนมากนิยมไปชมความสวยงามของดินแดน ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสวิตเซอร์แลนด์แห่งอินเดียแล้ว ยังเป็นจังหวะพอดีกับที่ เจดี แวนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เดินทางเยือนอินเดีย เหตุโจมตีที่เกิดขึ้นทำให้อินเดียต้องอับอายขายหน้าจากความหละหลวมที่ปล่อยให้เกิดเหตุร้าย

เศรษฐกิจในแคชเมียร์พึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยว คิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 7 ของ GDP จะเห็นว่าหลังเผชิญโควิด-19 ระบาด มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าพื้นที่มากขึ้นเรื่อยๆ จากหลักแสน เพิ่มเป็นหลักล้านและหลายล้านคน

อ่านข่าว : กลุ่มมือปืนโจมตีนักท่องเที่ยวในแคชเมียร์ เสียชีวิตกว่า 20 คน

แต่หากมองไปมากกว่าเรื่องของเม็ดเงินแล้ว การที่คนหลั่งไหลไปท่องเที่ยวพื้นที่พิพาทซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นบริเวณที่มีการประจำการกำลังทหารมากที่สุดในโลก ตอกย้ำวาทกรรมของรัฐบาลอินเดียที่ว่าสามารถสร้างสันติให้พื้นที่นี้เป็นปกติสุขได้สำเร็จแล้ว เมื่อเกิดเหตุร้ายขึ้นจึงเป็นการส่งสัญญาณให้โลกรู้ว่า ที่นี่ไม่ได้สงบสุขเหมือนที่อินเดียพยายามสร้างภาพให้โลกเห็น

สิ่งที่ตามมากับความเสียหน้าครั้งใหญ่ คือผลกระทบต่อความเชื่อมั่น รายได้จากการท่องเที่ยวช่วงที่กำลังคึกคักก่อนเข้าหน้าร้อนขณะนี้ได้หดหายไปหมดสิ้น รวมถึงเสถียรภาพในอินเดียและภาพลักษณ์ของอินเดียในเวทีโลก

ส่วนประเด็นเหตุผลเบื้องหลัง The Resistance Front กลุ่มแบ่งแยกดินแดนในแคชเมียร์ที่ออกมาอ้างความรับผิดชอบ ซึ่งอินเดียเชื่อว่าเป็นเพียงหน้าฉากของ ลาชการ์-อี-ตาอีบา กลุ่มติดอาวุธซึ่งมีฐานที่มั่นอยู่ในปากีสถาน ระบุว่า ทางกลุ่มคัดค้านการให้คนนอกขอสถานะผู้พำนักในแคชเมียร์ ซึ่งจะเปิดทางให้อินเดียเปลี่ยนโฉมสัดส่วนประชากรในแคชเมียร์ต่อไปในอนาคต

ข้อมูลสำมะโนประชากรของอินเดีย ล่าสุดเมื่อปี 2011 ชี้ว่า คนในแคว้นจัมมูและแคชเมียร์ที่อยู่ภายใต้การปกครองของอินเดีย มีสัดส่วนเป็นชาวมุสลิมร้อยละ 68.31 ชาวฮินดูร้อยละ 28.44 ขณะที่ชาวซิกข์กับชาวพุทธมีรวมกันร้อยละ 2.77

แต่การยกเลิกสถานะปกครองตนเองของแคชเมียร์ในเดือน ส.ค.2019 นำมาซึ่งกระแสกังวลว่ารัฐบาลอินเดียจงใจที่จะนำเอาชาวฮินดู เข้ามากลืนกินชาวมุสลิมที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของแคชเมียร์ ด้วยการเพิกถอนกฎหมายที่ห้ามไม่ให้คนนอกซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือสมัครเข้ารับราชการในภูมิภาคนี้ และยังเปิดทางให้คนนอกพื้นที่ทำเรื่องขอเป็นผู้พำนัก รวมทั้งซื้อที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้นด้วย

อ่านข่าว : "อินเดีย" ลดระดับสัมพันธ์ "ปากีสถาน" หลังเหตุโจมตีแคชเมียร์

ไม่ถึง 24 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ รัฐบาลอินเดียใช้ไม้แข็งเริ่มจัดการกับปากีสถานผ่านวิธีทางการทูต เริ่มด้วยการสั่งขับนักการทูตปากีสถานและเรียกนักการทูตอินเดียที่ประจำอยู่ในปากีสถานกลับประเทศ ก่อนสั่งปิดด่านชายแดนอัตตาริ-วากาห์ ช่องทางหลักที่เชื่อมระหว่าง 2 ประเทศและเพิกถอนวีซาชาวปากีสถานในประเทศทั้งหมด ซึ่งต้องออกจากอินเดียภายใน 5 วัน ขณะที่ปากีสถานตอบโต้แลกหมัดสวนกลับทันทีด้วยมาตรการที่ไม่แตกต่างกัน

ความตึงเครียดที่ยกระดับขึ้นสร้างความกังวลว่า 2 ประเทศอาจเสี่ยงต่อการเผชิญหน้ากันทางทหาร เพราะในอดีตเหตุโจมตีในแคชเมียร์จุดชนวนให้เกิดปฏิบัติการทางทหารมาแล้วทั้งในปี 2016 และ 2019 โดยปี 2016 อินเดียส่งทหารบุกถล่มฐานที่มั่นกลุ่มติดอาวุธ ฝ่าแนวเส้นควบคุมซึ่งแบ่งเขตแดนแคชเมียร์ส่วนที่อินเดียครอบครอง ข้ามเข้าไปในส่วนของปากีสถาน หลังกลุ่มติดอาวุธโจมตีทหารอินเดียเสียชีวิต 19 นาย

ปี 2019 อินเดียเปิดปฏิบัติการโจมตีทางอากาศถล่มฐานที่มั่นกลุ่มติดอาวุธถึงในปากีสถาน หลังจากกลุ่มติดอาวุธสังหารทหารพรานอินเดียไป 40 นาย ซึ่งปากีสถานส่งเครื่องบินปฏิบัติการตอบโต้จนเกิดภาพที่ทหาร 2 ฝ่ายดวลกันตัวต่อตัว แต่สุดท้ายก็ยังเลี่ยงไม่ให้เกิดสงครามเต็มรูปแบบระหว่างกันได้

นอกจากมาตรการทางการทูตแล้ว ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่าอินเดียอาจมี 2 ทางเลือก อย่างแรกคือ อินเดียอาจไฟเขียวให้ทหารใช้กำลังข้ามเส้นควบคุมไปเปิดการโจมตีเฉพาะจุดอีกรอบ หรืออีกทางหนึ่งคือ เปิดการโจมตีทางอากาศกับการใช้ขีปนาวุธโจมตีตอบโต้เหมือนในอดีต

แต่ไม่ว่าจะทางไหนก็มีความเสี่ยงทั้งนั้น ซึ่งไม่ว่าจะเล่นหนักหรือเบาก็อยู่ขึ้นกับอินเดียแล้ว หากมีข่าวกรองชัดเจนว่าปากีสถานมีเอี่ยวด้วยก็คงจะหนีไม่พ้นการเล่นใหญ่เพื่อชำระแค้นและซื้อใจคนฮินดูทั้งประเทศ สุดท้ายหากอินเดียตัดสินใจใช้กำลังแก้ปัญหา หากกำจัดกลุ่มติดอาวุธที่เป็นเสี้ยนหนามได้จริงก็ถือว่าประสบความสำเร็จ แต่หากปากีสถานไม่ยอมและตอบโต้ด้วยกำลังกลับ ก็มีความเป็นไปได้ที่ความขัดแย้งครั้งใหญ่อาจปะทุขึ้นใหม่ได้

เหตุการณ์นี้ถือเป็นบทเรียนสำคัญที่อินเดียจะต้องทบทวนมาตรการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ความขัดแย้งที่หละหลวม เพื่อไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอยขึ้นอีกในอนาคต ซึ่งขณะนี้โลกกำลังจับตาดูว่าอินเดียจะตอบโต้หนักแค่ไหนและจะบานปลายมากไปกว่านี้หรือไม่

อ่านข่าว 

รัสเซียโจมตีกรุงเคียฟ ขีปนาวุธ-โดรนถล่มหนักสุดในรอบ 9 เดือน เสียชีวิต 12 คน

เรียนผูกก็เรียนแก้เอง! จีนตอกกลับ หลังทรัมป์ส่งสัญญาณลดภาษี

สั่งปิดชั่วคราว "ซูเปอร์มาร์เก็ตจีน" ไม่ขออนุญาตประกอบกิจการ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง