วันนี้ (29 ม.ค.2568) โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สั่งการระงับการใช้งบประมาณชั่วคราว ไม่ให้รัฐบาลใช้งบประมาณที่ผ่านการอนุมัติจากสภาคองเกรส สำหรับสนับสนุนโครงการต่าง ๆ จำนวนมาก
คำสั่งดังกล่าวครอบคลุมทั้งเงินช่วยเหลือ เงินกู้ และความช่วยเหลือทางการเงินอื่น ๆ ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ โดยกำหนดไว้ให้มีผลเมื่อเวลา 17.00 น.ที่ผ่านม ตามเวลาท้องถิ่น หรือเมื่อเวลา 05.00 น.ตามเวลาในประเทศไทย ท่ามกลางความสับสนว่าจะส่งผลกระทบต่อโครงการใดบ้าง
การตัดสินใจของทรัมป์ในครั้งนี้ อาจส่งผลกระทบต่อการศึกษา การดูแลสุขภาพ โครงการอาหาร ความช่วยเหลือด้านที่อยู่อาศัย การบรรเทาภัยพิบัติ และโครงการอื่น ๆ อีกมากมาย ที่ต้องพึ่งพาเงินจากรัฐบาลกลางหลายล้านล้านดอลลาร์ ไม่ใช่เพียงในสหรัฐฯ แต่จะกระทบโครงการช่วยเหลือที่สหรัฐฯ มีส่วนร่วมทั่วโลก
สำหรับการระงับงบประมาณครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากทรัมป์สั่งระงับความช่วยเหลือต่างประเทศเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเริ่มตัดการจัดส่งยาไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ที่พึ่งพาความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาจากสหรัฐฯ หลังจากตลอดมา รัฐบาลสหรัฐฯ มอบเงินแก่องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรจำนวนมากทั่วโลกในการทำภารกิจช่วยเหลือ
หลายฝ่ายมองว่า ท่าทีล่าสุดของทำเนียบขาว เป็นการเข้าแทรกแซงการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติ เพื่อให้ฝ่ายบริหารมีส่วนในการบริหารงานใช้งบประมาณสาธารณะมากขึ้น
ศาลสั่งขวางคำสั่ง "ทรัมป์" ระงับงบฯ คองเกรสถึงสัปดาห์หน้า
หลังคำสั่งดังกล่าวมีผลได้ไม่นาน ล่าสุดเมื่อไม่ถึง 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา ศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ในวอชิงตัน ดีซี ออกมาขวางคำสั่งของทรัมป์ครั้งนี้แล้ว โดยยืดเวลาออกไปให้คำสั่งของรัฐบาลทรัมป์มีผลในเวลา 17.00 น. ของวันที่ 3 ก.พ.นี้
Karoline Leavitt โฆษกทำเนียบขาว ที่ออกมาประกาศคำสั่งระงับการใช้งบฯ ก่อนหน้านี้ ระบุว่า ตั้งแต่ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทรัมป์ได้ออกคำสั่งฝ่ายบริหารไปแล้วมากกว่า 300 คำสั่ง รัดเข็มขัดงบประมาณการลงทุนกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเนรเทศคนต่างด้าวผิดกฎหมาย นักข่มขืน สมาชิกกลุ่มอาชญากรต่าง ๆ ได้อีกจำนวนมาก
"ทรัมป์" ออกคำสั่งฝ่ายบริหาร 300 ฉบับใน 1 สัปดาห์
ปฏิบัติการเข้มข้นของทางการสหรัฐฯ ทำให้เม็กซิโกเดินหน้าตั้งศูนย์รองรับผู้อพยพตามพรมแดนต่อเนื่อง โดยทางการเม็กซิโก ระบุว่า เมื่อวานนี้ (28 ม.ค.) ตั้งศูนย์รวม 10 แห่ง กระจายในหลายเมืองพรมแดนที่ติดกับสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ตามการวิเคราะห์ของสถาบันวิจัย El Colegio de la Frontera Norte (COLEF) ของเม็กซิโก ซึ่งใช้ข้อมูลสำมะโนประชากรของสหรัฐฯ ล่าสุด ระบุว่ามีชาวเม็กซิกันเกือบ 5 ล้านคนอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาโดยไม่ได้รับอนุญาต
กูเกิลเตรียมเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็น "อ่าวอเมริกา"
ขณะที่อีกความเคลื่อนไหว ซึ่งเกี่ยวกับเม็กซิโกและน่าจะถูกใจผู้นำสหรัฐฯ กูเกิลประกาศจะปฏิบัติตามคำสั่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ลงนามคำสั่งเปลี่ยนชื่อ "อ่าวเม็กซิโก" เป็น "อ่าวอเมริกา" โดยชื่อใหม่นี้จะปรากฏใน Google Maps เร็ว ๆ นี้ เมื่อระบบชื่อสถานที่ทางภูมิศาสตร์ของสหรัฐฯ ได้รับการอัปเดต
Google อธิบายในโพสต์บน X ว่าบริษัทมี "แนวปฏิบัติมายาวนานในการใช้ชื่อใหม่ตามแหล่งข้อมูลของรัฐบาลอย่างเป็นทางการ" แต่การเปลี่ยนชื่อที่จะเกิดขึ้น จะเห็นเฉพาะผู้ใช้งานในสหรัฐฯ หากอยู่ในเม็กซิโก จะเห็นเป็น Gulf of Mexico เหมือนเดิม แต่ถ้ามาจากประเทศอื่น ๆ จะเห็น 2 ชื่อคู่กัน
อ่านข่าว : อพยพ 176 คนพ้นไฟไหม้เครื่องบิน "แอร์ปูซาน" บาดเจ็บ 4