วันนี้ (1 ก.พ.2566) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ชี้แจงกรณีนำตัว น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ (ตะวัน) และคุณอรวรรณ ภู่พงษ์ (แบม) ไปดูแลที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ เนื่องจากได้มีการประสานไปยังโรงพยาบาลอื่น ๆ และพบว่าเต็ม ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า โรงพยาบาลกรมราชทัณฑ์ไม่มีประสิทธิภาพ แต่ได้พิจารณาในมิติทางการแพทย์ ในการรักษา เช่น คีโตน ร่างกายน้ำหนักลดไปกว่า 10 กก.โดยเฉพาะการอดอาหารนาน 14 วันส่งผลอันตรายต่อชีวิต
พร้อมกล่าวตอบรับดำเนินการในข้อเสนอข้อเรียกร้องเอาเรื่องการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ซึ่งสามารถทำได้ตามกระบวนการของรัฐธรรมนูญ ทั้งการปฏิรูปกฎหมายการปฏิรูปยุทธศาสตร์ การสร้างความสามัคคีปรองดอง
ในช่วงเช้าที่ผ่านมาได้มีการหารือ ประกอบไปด้วย กรรมการสิทธิมนุษยชน , และนายปริญญา เทวานฤมิตรกุล ในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิของกรรมการสิทธิมนุษยชน และผู้อำนวยการสำนักกฎหมายสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติร่วมหารือพูดคุย ที่จะร่วมทำงานแก้ไขปัญหาและจะเร่งดำเนินการในส่วนที่กระทรวงสามารถทำได้เลย ในช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่งก่อนจะครบเทอม ยืนยันจะทุ่มเทเวลาดำเนินการ
ส่วนในเรื่องของการประกันตัว ที่มีการเสนอของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ก็เป็นข้อเสนอแนะที่ดี ที่จี้ไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงควรจะรับรู้ประเด็นปัญหา
หากปล่อยให้ระยะเวลา เส้นทางไกลออกไป คิดว่าไม่ได้เรื่องได้ราว อาจจะทำให้น้องอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ ซึ่งรู้สึกสะเทือนใจมากที่เห็นผู้คนที่อดอาหาร เด็กอายุ 21-22 ปี ที่ได้ทุ่มเทขนาดนี้ และดีใจที่เยาวชนเริ่มดื่มน้ำได้และพูดคุยกัน
รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงข้อสรุปการประชุม มี 4 ประเด็น 1.กระทรวงยุติธรรมพร้อมพิจารณาดำเนินการปฏิรูปในประเด็นการปล่อยตัวชั่วคราว เพื่อให้การปฏิบัติในปัจจุบันสอดคล้องกับหลักในรัฐธรรมนูญมาตรา 29
2. พร้อมพิจารณาทบทวนระเบียบปฏิบัติที่ใช้บังคับในปัจจุบันเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังในคดีความแตกต่างทางความคิด หรือความเห็นต่าง ซึ่งเมื่อได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างพิจารณาคดี และไม่ได้มีการพิพากษาว่าเป็นผู้กระทำความผิดให้สามารถถูกคุมขังในสถานที่อื่นซึ่งไม่ใช่เรือนจำได้
3.พร้อมให้การสนับสนุนหลักประกันในการปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญา ผ่านกลไกกองทุนยุติธรรม
4.คณะกรรมการสิทธิมนุษชนแห่งชาติจะให้การสนับสนุนการจัดทำข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับสิทธิมนุษยชนต่อไปยังคณะรัฐมนตรี รัฐสภา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ก่อนจะกล่าวถึงความรู้สึกว่า สงสารเยาวชนทั้ง 2 คน ที่ได้แสดงออกโดยเป็นการอดอาหารจริง ที่ต่างจากอดีตที่มีการอดอาหารแต่มีการทานตอนกลางคืน โดยได้เห็นถึงความตั้งใจเอาจริงเอาจังของเยาวชนทั้ง 2 คน ขณะที่มีอีก 1 คนที่อดอาหารนั้นก็จะส่งไปอยู่ด้วยกันที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ
"องอาจ" แนะ 3 แนวทางปม "ตะวัน-แบม"
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้า และ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ สนับสนุนญัตติด่วนด้วยวาจาของพรรคการเมืองฝ่ายค้าน โดยกล่าวว่า ตามข้อเรียกร้องและวิธีการดำเนินการเพื่อให้ได้ตามข้อเรียกร้องของเยาวชนด้วยการอดอาหารและน้ำ เชื่อว่าคนที่ติดตามมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับข้อเรียกร้อง
รวมถึงอาจจะเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับวิธีการที่จะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายตามข้อเรียกร้อง แต่ก็เคารพสิทธิและเสรีภาพในข้อเรียกร้องดังกล่าว โดยมี 3 ประเด็นที่จะฝากต่อที่ประชุมสภา
1. การอดอาหารประท้วงเพื่อให้บรรลุข้อเรียกร้อง เชื่อว่าไม่มีใครในสังคมต้องการที่จะเห็นเยาวชนทั้ง 2 คน ต้องเสียชีวิตสาเหตุจากการอดอาหาร แต่ช่วยกันหาทางออกเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เชื่อว่า หลายฝ่ายกำลังดำเนินการทุกทางเพื่อไม่ให้เกิดการเสียชีวิตได้
2.การดำเนินการตามข้อเรียกร้องสามารถดำเนินการได้ ซึ่งรัฐบาลควรส่งสัญญาณให้สังคมได้เห็นว่า รัฐบาลพร้อมรับฟังและปฏิบัติตามข้อเรียกร้องในบางเรื่อง ที่สามารถดำเนินการได้ในทันที
รวมถึง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็สามารถไปพิจารณาได้ตามสมควร รวมถึงการดำเนินการเกี่ยวกับมาตรา 112 ซึ่งเห็นว่ารัฐบาลและผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถทำให้ปัญหาที่หนักกลายเป็นเบาได้
มาตรา 112 ไม่ใช่เป็นมาตราที่เพิ่งใช้ในปัจจุบัน ในยุครัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ แต่มาตรานี้ถูกใช้มาในหลายรัฐบาลที่ผ่านมา ในยุครัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เป็นช่วงเวลาขับเคี่ยวระหว่างสีทางการเมือง ปรากฏว่ามีการใช้มาตรา 112 ดำเนินคดีกับบุคคลต่าง ๆ อยู่พอสมควร แต่การแก้ไขในขณะนั้นคือการตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาการบังคับใช้กฎหมายตามมาตรา 112 ทำให้สถานการณ์คลี่คลายพอสมควร
ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวย้ำแนวทางแก้ไขคือหาทุกวิถีทางในการดำเนินการเพื่อไม่ให้เยาวชนทั้ง 2 คนต้องเสียชีวิต และการพิจารณาข้อเรียกร้องฝ่ายภาครัฐต้องส่งสัญญาณให้เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และ 3 ฝากเรียกร้องคือ ไม่อยากให้การอดอาหารครั้งนี้นำไปสู่การขยายผลเป็นเรื่องราวต่างๆทางการเมือง หรือเป็นเงื่อนไขทางการเมืองเพื่อประโยชน์ของคนใดคนหนึ่ง เชื่อว่าจะทำให้สถานการณ์คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น