ภาวะ “Locked-in syndrome (LIS)” คือ ภาวะเมื่อผู้ป่วยรู้สึกตัวและมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน แต่ไม่สามารถขยับกล้ามเนื้อที่อยู่ภายใต้การควบคุมของจิตใจได้รวมถึงการพูด ในภาวะนี้ผู้ป่วยมักจะยังสามารถกะพริบตาได้และควบคุมการเคลื่อนไหวของตาในแนวดิ่งได้ ทำให้การสื่อสารด้วยตานั้นเป็นไปได้ อย่างไรก็ตาม มีกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถขยับอะไรได้เลยเรียกว่า “Completely Locked-in Syndrome (CLIS)”
ภาวะ LIS นั้นมีลักษณะคล้ายกับการโคม่า (Coma) แต่แตกต่างกันตรงที่ผู้ป่วยนั้นมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน และไม่สามารถตอบสนองได้ด้วยการเคลื่อนไหว ตอบสนองได้ผ่านเพียงการกะพริบตาหรือการควบคุมการมองขึ้นและมองลงเท่านั้น
ในบางกรณี ผู้ป่วยอาจจะยังสามารถรับและรู้สึกถึงการจับหรือแตะร่างกายได้ (Proprioception) และในบางกรณี ผู้ป่วยอาจจะยังสามารถควบคุมกล้ามเนื้อบางชุดได้
ภาวะ LIS โดยหลักแล้วเกิดจากการเสียหายของก้านสมอง (Brainstem) ในขณะที่สมองส่วนบนอย่างเปลือกสมอง (Cerebral Cortex) ซึ่งทำหน้าที่ด้านความสามารถในการคิดและมีสตินั้นปกติ แตกต่างกับภาวะเจ้าชายนิทราหรือภาวะสภาพผักเรื้อรัง (Persistent Vegetative State) ที่สมองส่วนบนได้รับการเสียหายในขณะที่สมองส่วนล่างซึ่งทำหน้าที่ควบคุมร่างกายยังปกติดี
LIS ส่วนใหญ่เกิดจากความเสียหายต่อก้านสมองส่วนพอนส์ (Pons) ซึ่งมีหน้าที่ในการส่งต่อคำสั่งในการควบคุมกล้ามเนื้อไปยังสมองส่วนอื่น ๆ เช่น สมองน้อย (Cerebellum) ความเสียหายดังกล่าวอาจเกิดจากเส้นเลือดในสมองแตก (Stroke) อันเป็นเหตุให้เนื้อเยื่อสมองตาย หรือเกิดจากการกระทบกระเทือนจากภายนอก นอกจากนี้ สารพิษบางชนิดยังอาจสร้างความเสียหายต่อสมองอันนำไปสู่ภาวะ LIS ได้
ภาวะ LIS ไม่มีวิธีรักษาที่เป็นมาตรฐานและการรักษามักจะเป็นการรักษาตามอาการและการกายภาพบำบัด เช่น การกระตุ้นกล้ามเนื้อด้วยไฟฟ้า ซึ่งอาจทำให้การควบคุมกล้ามเนื้อบางส่วนกลับมาได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วย LIS ส่วนใหญ่ไม่สามารถกู้คืนการควบคุมกล้ามเนื้อได้ แต่สามารถมีชีวิตรอดได้เป็นระยะเวลานาน มีเพียงไม่กี่กรณีเท่านั้นที่ผู้ป่วย LIS ฟื้นฟูการควบคุมกล้ามเนื้อได้เกือบสมบูรณ์ผ่านการกายภาพบำบัด
ในผู้ป่วย LIS การสื่อสารมักจะทำได้ด้วยการใช้ระบบตรวจจับการเคลื่อนไหวของตา เนื่องจากสมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหวแนวดิ่งของตานั้นอยู่ในสมองส่วนกลาง (Midbrain) ซึ่งแยกจากพอนส์ ทำให้การควบคุมตาในแนวดิ่งยังเป็นไปได้ เว้นแต่ความเสียหายต่อสมองลามมาถึงสมองส่วนกลางด้วย
โปรแกรมอย่าง Dasher สำหรับการพิมพ์โดยไม่มีคีย์บอร์ดร่วมกับเทคโนโลยีการตรวจจับตามักจะถูกใช้ในการสื่อสารโดยผู้ป่วย LIS หรือแม้กระทั่งเขียนหนังสือ
ปัจจุบัน ระบบ Brain-Computer Interface (BCI) อยู่ในระหว่างการวิจัยเพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถอ่านและเข้าใจสมองได้เพื่อใช้สมองในการควบคุมคอมพิวเตอร์โดยตรง อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีระบบ BCI ใดที่ทำให้ผู้ป่วย LIS สามารถใช้คอมพิวเตอร์ได้อย่างสมบูรณ์
เรียบเรียงโดย โชติทิวัตถ์ จิตต์ประสงค์ ภาควิชาวิทยาศาสตร์การแพทย์ คณะสัตวแพทยศาสตร์และชีววิทยาศาสตร์ City University of Hong Kong
อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS
ที่มาข้อมูล : journals.sagepub, ncbi.nlm.nih
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech