ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ชื่อของ เหลียง เหวินเฟิง (Liang Wenfeng) กลายเป็นที่พูดถึงไปทั่ววงการเทคโนโลยี หลังจากที่บริษัทสตาร์ทอัปของเขา "DeepSeek" เปิดตัวโมเดล AI ตัวใหม่ที่ท้าชนยักษ์ใหญ่อย่าง OpenAI, Meta และ Google ด้วยต้นทุนเพียงเศษเสี้ยวของคู่แข่ง
DeepSeek ไม่ได้เป็นเพียงแค่สตาร์ทอัปหน้าใหม่ แต่ยังสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงของจีนในเวที AI โลก และบุคคลที่อยู่เบื้องหลังการปฏิวัตินี้คือชายหนุ่มที่เคยเป็นเพียงเด็กบ้านนอกในมณฑลกวางตุ้ง ผู้ที่ฝันจะ "เปลี่ยนกติกาของเกม"
จากเด็กต่างจังหวัด สู่ผู้เปลี่ยนเกม AI
เหลียง เหวินเฟิง เกิดในทศวรรษ 1980 ในครอบครัวชนชั้นกลาง พ่อของเขาเป็นครูโรงเรียนประถมในเมืองเล็ก ๆ ของมณฑลกวางตุ้ง เขาเติบโตขึ้นมาในสังคมที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา และด้วยความสามารถอันโดดเด่น เหลียงสามารถสอบเข้าศึกษาต่อที่ มหาวิทยาลัยเจ้อเจียง ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาด้านเทคโนโลยีชั้นนำของจีน สาขาที่เขาเลือกเรียนคือวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์และสารสนเทศ
เพื่อนร่วมรุ่นและอดีตเพื่อนร่วมงานของเขาจำได้ว่า เหลียงเป็นคนที่ "เนิร์ดสุด ๆ" และมักจะพูดถึงแนวคิดเกี่ยวกับ AI อยู่เสมอ เขามีทรงผมที่ดูยุ่งเหยิง และบางครั้งก็ถูกมองข้ามจากคนรอบข้างเพราะไอเดียของเขาฟังดูเป็นไปไม่ได้
แต่เขาไม่เคยยอมแพ้
หลังจากจบการศึกษา เหลียงเข้าสู่วงการการเงินและก่อตั้ง High-Flyer Quant กองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ใช้ AI และ Machine Learning ในการบริหารจัดการพอร์ตการลงทุน ด้วยแนวคิดใหม่ ๆ และการใช้ AI ในตลาดทุน High-Flyer Quant กลายเป็นหนึ่งในกองทุนที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดของจีน
ไม่เพียงแค่ด้านการเงิน High-Flyer Quant ยังสร้าง ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ขนาดเท่าคอร์ตบาสเก็ตบอล เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการคำนวณ นี่เป็นหนึ่งในสัญญาณที่ชัดเจนว่าเหลียงไม่ได้ต้องการเป็นแค่เทรดเดอร์ที่ฉลาดที่สุด แต่เขากำลังวางรากฐานสำหรับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น
"DeepSeek" ความทะเยอทะยานที่เป็นจริง
ในปี 2566 เหลียงตัดสินใจก่อตั้ง DeepSeek โดยมีเป้าหมายชัดเจนว่า
จีนไม่ควรเป็นแค่ผู้ตามด้าน AI แต่ต้องเป็นผู้นำ
DeepSeek ไม่เหมือนกับบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของจีน เช่น ByteDance หรือ Alibaba ที่ได้รับแรงหนุนจากรัฐบาลหรือเงินทุนมหาศาล เหลียงเริ่มต้นจากทีมเล็ก ๆ ที่มีนักวิจัยและวิศวกรเพียง 140 คน และเขายืนยันว่าจะรับแต่บุคลากรจากมหาวิทยาลัยในจีนเท่านั้น เขากล่าวไว้ว่า 50 อันดับแรกของอัจฉริยะด้าน AI อาจไม่ได้อยู่ในจีน แต่เราอาจสร้างพวกเขาขึ้นมาเองได้
DeepSeek R1 ซึ่งเป็นโมเดล AI ล่าสุดของบริษัท ได้รับการเปิดตัวเมื่อวันที่ 20 ม.ค.2568 และกลายเป็นกระแสไปทั่วโลกในชั่วข้ามคืน เพราะสามารถแข่งขันกับ GPT-4 ของ OpenAI หรือ Gemini ของ Google ได้ในขณะที่ใช้งบประมาณเพียง 6,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับงบพัฒนาของคู่แข่งที่สูงถึงหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ
"Sputnik Moment" สำหรับสหรัฐฯ
ความสำเร็จของ DeepSeek ไม่เพียงแต่สร้างความตื่นตะลึงให้กับวงการเทคโนโลยี แต่ยังส่งแรงกระเพื่อมไปถึงระดับการเมืองของสหรัฐฯ มาร์ก อันเดรสเซน (Marc Andreessen) นักลงทุนด้านเทคโนโลยีชื่อดัง ถึงกับขนานนามว่านี่คือ "Sputnik Moment" หรือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ปลุกให้สหรัฐฯ ตระหนักถึงการแข่งขันทางเทคโนโลยี เช่นเดียวกับช่วงที่โซเวียตส่งดาวเทียม Sputnik 1 ขึ้นสู่วงโคจรโลกในปี 2500
ขณะที่ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ออกมาแสดงความเห็นเมื่อวันที่ 27 ม.ค.ที่ผ่านมา ว่า ความก้าวหน้าของ DeepSeek เป็น เสียงปลุกให้สหรัฐฯ ตื่นตัว ในการแข่งขันด้าน AI กับจีน
ปัจจุบัน AI ถือเป็นสมรภูมิสำคัญระหว่าง 2 ชาติมหาอำนาจ โดยรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ดำเนินมาตรการจำกัดการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์และชิปประสิทธิภาพสูงไปยังจีน เพื่อชะลอการพัฒนา AI ของประเทศคู่แข่ง อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางรายชี้ว่า ข้อมูลเกี่ยวกับต้นทุนการพัฒนาของ DeepSeek อาจต้องได้รับการตรวจสอบเพิ่มเติม ขณะเดียวกัน ยังต้องจับตามองว่า AI ของ DeepSeek ซึ่งดำเนินงานภายใต้กฎเกณฑ์ด้านการควบคุมข้อมูลของรัฐบาลจีน จะสามารถแข่งขันในระดับสากลได้หรือไม่
เปลี่ยนวัฒนธรรมเป็นนวัตกรรม
แม้ว่าความสำเร็จของ DeepSeek จะได้รับการเฉลิมฉลองในจีนอย่างกว้างขวาง แต่เหลียงก็ยังคงมุ่งมั่นกับเป้าหมายของเขา เขาไม่ได้แค่ต้องการสร้างโมเดล AI ที่เก่งที่สุด แต่ยังต้องการเปลี่ยนวัฒนธรรมของจีน ให้กลายเป็นศูนย์กลางของนวัตกรรม
ช่องว่างที่แท้จริงระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ไม่ใช่แค่ 1-2 ปี แต่เป็นช่องว่างระหว่างการเลียนแบบกับการคิดค้นสิ่งใหม่ ถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ จีนจะเป็นแค่ผู้ตามตลอดไป
DeepSeek มีแนวทางที่แตกต่างจากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่อื่น ๆ ของจีน เพราะเลือกที่จะเป็น Open Source เปิดให้บริษัทและนักพัฒนาทั่วไปสามารถเข้าถึงและปรับแต่งโมเดลได้ ต่างจาก OpenAI และ Google ที่เน้นการควบคุมเทคโนโลยีภายใน
อดีตพนักงานของ DeepSeek อย่าง จื่อหาน หวัง (Zihan Wang) ซึ่งปัจจุบันกำลังศึกษาต่อในสหรัฐฯ บอกกับ MIT Technology Review ว่าบริษัทมอบทรัพยากรความรู้จำนวนมหาศาลให้กับพนักงานรุ่นใหม่ เพื่อให้พวกเขามีอิสระในการทดลองและพัฒนา
DeepSeek ยังเสนอเงินเดือนที่สูงเมื่อเทียบกับมาตรฐานจีน โดยตำแหน่งวิศวกรที่ได้รับค่าตอบแทนสูงสุดมีเงินเดือนสูงถึง 90,000 หยวน/เดือน (ประมาณ 12,400 ดอลลาร์สหรัฐ) แม้จะยังต่ำกว่าค่าตอบแทนของวิศวกรที่ Google ซึ่งอาจสูงถึง 29,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ก็ถือเป็นแพ็กเกจที่ดึงดูดใจสำหรับผู้มีความสามารถในจีน
DeepSeek จะเปลี่ยนโลก AI ได้จริงหรือ ?
ทั่วประเทศจีนกำลังเฉลิมฉลองความสำเร็จของ DeepSeek สตาร์ทอัปด้านปัญญาประดิษฐ์สัญชาติจีน หลังจากที่โมเดล AI ตัวล่าสุดของบริษัทสร้างความฮือฮาไปทั่วซิลิคอนแวลลีย์และวอลล์สตรีท โซเชียลมีเดียจีนเต็มไปด้วยแฮชแท็กเกี่ยวกับ DeepSeek
โดยหนึ่งในแฮชแท็กยอดนิยมที่มียอดวิวหลายสิบล้านบนแพลตฟอร์ม Weibo ระบุว่า "DeepSeek พลิกตลาดหุ้นสหรัฐฯ ข้ามคืน" อีกแฮชแท็กหนึ่งกล่าวว่า "DeepSeek ทำให้ Meta ตื่นตระหนก" ซึ่งเป็นการอ้างถึงบริษัทยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ ที่ทุ่มทุนพัฒนา AI อย่างหนัก
แม้ว่า DeepSeek จะได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม แต่คำถามสำคัญคือ จะสามารถเปลี่ยนโลก AI ได้จริงหรือไม่ ? นักวิเคราะห์บางคนมองว่า ความสำเร็จของ DeepSeek อาจถูกจำกัดโดยนโยบายของรัฐบาลจีน เนื่องจากโมเดล AI ของบริษัทต้องดำเนินงานภายใต้การควบคุมข้อมูลที่เข้มงวด ซึ่งหมายความว่าอาจมีข้อจำกัดในการใช้งานเมื่อเทียบกับ OpenAI หรือ Meta ที่มีเสรีภาพในการพัฒนาโมเดลมากกว่า
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แน่นอนคือ DeepSeek และเหลียง เหวินเฟิง ได้เปลี่ยนบทสนทนาเกี่ยวกับ AI ในระดับโลกไปแล้ว ไม่ว่าอนาคตของ DeepSeek จะเป็นอย่างไร แต่ชื่อของ "เหลียง เหวินเฟิง" ได้ถูกจารึกลงในประวัติศาสตร์ของวงการปัญญาประดิษฐ์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อ่านข่าวอื่น :
MLD โรคทางพันธุกรรมที่หายาก พบได้ 1 ในแสนคน อาการ-วิธีรักษา
ผบ.ตร.ชี้ยังไม่พบเพื่อนบ้านใช้ไฟไทย-ตัดสัญญาณสกัดคอลเซนเตอร์