ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

เปิดลายแทงฉบับ "ลุงตู่" แก้พิษฝุ่นเมือง-ข้ามแดน ต้องเสี่ยงขัดแย้ง

สิ่งแวดล้อม
28 ม.ค. 68
18:14
647
Logo Thai PBS
เปิดลายแทงฉบับ "ลุงตู่" แก้พิษฝุ่นเมือง-ข้ามแดน ต้องเสี่ยงขัดแย้ง
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)

ท่ามกลางบรรยากาศอึมครึม ของ ควัน ฝุ่น PM 2.5 และหมอกที่ปกคลุมบนท้องฟ้าประเทศไทย ตั้งแต่ช่วงกลางเดือน ม.ค.2568-ปัจจุบัน ในระดับแดงเดือดทั่วทุกภูมิภาค โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ปริมณฑล บางจังหวัดมลพิษฝุ่นเข้มข้นถึงขั้นทะลุสีม่วง เข้าสู่คุณภาพอากาศเป็นพิษ ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คน

แม้การสั่งปิดโรงเรียน และการให้บริการใช้รถเมล์ รถไฟฟ้าฟรี หรือการรณรงค์ไม่ใช้รถยนต์ จะไม่ใช่มาตรการหลักในการแก้ปัญหาให้คนเมืองหลวง แต่ดูเหมือนรัฐบาลก็ไม่ได้ทางเลือกอื่นมากนัก ขณะที่คำสั่งห้ามเผาไร่อ้อย นาข้าว ก่อนจะถึงช่วงฤดูหว่านไถของเกษตรกร อีกทั้งยังมี ฝุ่น ควัน ข้ามพรมแดนจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาสมทบ การแก้ปัญหานี้จึงไม่ต่างจาก “ลิงวิ่งแก้แห”

หากเป็นเช่นนั้น การแก้ไขปัญหาหมอกควัน ฝุ่น PM 2.5 ควรเป็นอย่างไร หากคนไทยยังต้องใช้ชีวิตเผชิญกับฝุ่นพิษ อย่างน้อยอีก 3 เดือน จนกว่าฤดูกาลจะสิ้นสุดลงในเดือน เม.ย.นี้

รัฐบาลแพทองธาร “ลิงแก้แห” ปัญหาฝุ่น PM2.5

แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ส่งสัญญาณข้ามแดนจากเมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส ให้แก้ปัญหาฝุ่นพิษเมืองในช่วงพีคสูงสุด ทำเอา ครม.ที่อยู่ต้องงัดมาตรการต่าง ๆ มาใช้ กระทรวงคมนาคมทุ่ม 140 ล้านบาท ชดเชยให้ รถเมล์ รถไฟฟ้าที่เปิดให้บริการฟรี กระทรวงมหาดไทย สั่งห้ามเผาไร่อ้อย นาข้าว และยังขู่โยกผู้ว่าราชการจังหวัดทันที หากพบพื้นที่ใดฝ่าฝืน

“เราเตรียมมาตรการ ตั้งแต่ก่อนปีใหม่ ช่วงเดือน พ.ย.2567 ว่า มาตรการจะออกมาอย่างไร หากเผาจะถูกปรับอย่างไร มีหมดแล้ว ด้านอุตสาหกรรม การเผาลดน้อยลงมากจากปีที่แล้ว แต่ฝุ่นเป็นเรื่องของการสะสมมาเป็นระยะเวลานาน” แพทองธาร ระบุ เมื่อวันที่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมา

พร้อมงัด 6 มาตรการด่วน สู้ฝุ่นเร่งด่วน ทั้ง การปิดโรงเรียน WFH คุมรถบรรทุกเข้า กทม.ชั้นใน การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น รวมถึงมาตรการระยะยาวในการยกระดับฝุ่นพิษเป็น “วาระแห่งชาติ” ก่อนที่ นายกฯ จะย้ำภายหลังว่า ...คือ ปัญหาของกลุ่มประเทศอาเซียนที่ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกประเทศ

และวันนี้ (28 ม.ค.2568) “แพทองธาร” จึงนั่งหัวโต๊ะเป็นประธานการประชุม สั่งการให้แต่ละกระทรวงฯ แก้ไขปัญหา ฝุ่น หมอกควัน และ PM 2.5 

ทั้งนี้ ครม. ได้อนุมัติงบกลางในปี 2568 ภายใต้มาตรการรับบริการไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละออง พ.ศ. 2568 วงเงินรวมทั้งสิ้น 620 ล้านบาท 

เปิดลายแทงรัฐบาลยุค “ลุงตู่” หาต้นตอ PM 2.5

เมื่อปี 7 ปีที่แล้ว รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี (สบนร.) โดยคณะทำงานวิชาการเฉพาะกิจ จัดทําข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการบริหารจัดการไฟป่า และการเผาในที่โล่งเพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5

พร้อมเปิดเผยผลรายงานสถานการณ์และข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเกี่ยวกับการเผา ในที่โล่งในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านระหว่างประเทศ พ.ศ.2562 – 2564 หลายประเด็นน่าสนใจ ทั้งข้อเสนอในและนอกประเทศ โดยเฉพาะกรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วย มลพิษจากหมอกควันข้ามแดน (ASEAN Agreement on Transboundary Haze Pollution)

สำหรับข้อมูลจากการศึกษาฯ ในประเทศ พบว่า การเผาในที่โล่ง ไฟป่า การเผาในภาคเกษตร การเผาในที่โล่งประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลกระทบต่อฝุ่น PM 2.5 ในประเทศไทย การเผาฟางและตอซังข้าว คือ ต้นเหตุของมลพิษทางอากาศจากภาคเกษตรกรรมสูงสุด ขณะที่อ้อยมีสัดส่วนน้อยกว่า ซึ่งเผาซังตอข้าวเกิดขึ้นในกระบวนการเตรียมแปลงปลูก

จังหวัดที่มีการเผาซังตอข้าว 5 อันดับแรก อยู่ในภาคกลางและอีสาน คือ จ.นครสวรรค์ , พิจิตร , ร้อยเอ็ด นครราชสีมา และพิษณุโลก ทั้งนี้ ข้าวมีพื้นที่เผาไหม้ซ้ำซากมากกว่าอ้อยถึง 12 เท่า และมีน้ำหนักเชื้อเพลิงรวมกันมากกว่าอ้อยถึง 5 เท่า และมีระดับความเข้มข้นต่อไร่ของเขม่าดำ ซึ่งมี PM 10 สูงกว่าอ้อย

โดยพื้นที่เพาะปลูกข้าวมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 50 ของการเผากลุ่มพืชเกษตร ในไทยมีพื้นที่ปลูกข้าวรวม 60.7ล้านไร่ และมีเกษตรกรที่เกี่ยวข้อง 4 ล้านครัวเรือน การเผาแปลงข้าวจึงกลายเป็นปัญหาใหญ่ของการเผาในที่โล่งของประเทศ

ส่วนในลาวพบ ตั้งแต่ปี 2562 มีการเผาไร่เพื่อปลูกข้าวโพดอย่างก้าวกระโดด แนวตะเข็บชายแดนไทย-ลาว ที่แขวงไชยบุรีบริเวณตรงข้าม จ.พะเยา น่าน และ เลย ส่วนฝั่งเมียนมาบริเวณแม่น้ำสาละวินตลอดแนวชายแดน พบการเผาไร่ข้าวโพด ตรงข้าม ต.วาเล่ย์ อ.พบพระ จ.ตาก และต้องติดตามว่า พื้นที่ผลผลิตของทั้งสองประเทศ ถูกส่งเข้ามาในไทยหรือไม่

นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ป่าที่เกิดปัญหา ไฟไหม้ซ้ำซากมากกว่า 5 ครั้งในรอบ 10 ปี และเป็นผืนป่าอนุรักษ์ที่มีขนาดใหญ่ ตั้งแต่ 1 แสนไร่ ถึง 11 แห่ง ในภาคเหนือและภาคตะวันตก เช่น ป่าสาละวิน ลุ่มน้ำปาย แม่ตื่น เขื่อนศรีนครินทร์ ออบหลวง อมก๋อย แม่วะ ห้วยน้ำดัง ห้วยขาแข้ง และศรีน่าน

หมอกข้ามแดน-เผาที่โล่ง ปัญหา "อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง"

การเผาในที่โล่งในเพื่อนบ้านที่ส่งผลกระทบต่อปัญหา PM 2.5 ข้ามแดนในไทย นอกจาก ลาว กัมพูชา แล้วคณะทำงานฯ ได้ประมวลข้อมูลเกี่ยวกับมิติหมอกควันข้ามแดนอันเกิดจากการเผาในพื้นที่โล่งในกลุ่มประเทศในพื้นที่อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ระหว่างปี 2546-2563 โดย GISTDA และข้อมูลการเคลื่อนตัวทางอุตุนิยมวิทยาของลมโดยสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ พบข้อมูลน่าสนใจ

ในช่วงระหว่างเดือน ม.ค.-ก.พ. จะมีการสะสมของฝุ่น PM 2.5 กรุงเทพและปริมณฑล ภาคกลางตอนบน โดยลมท้องถิ่นมีการสอบรวมของลมที่พัดผ่านภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และจากกัมพูชาเข้ามา ทำให้ กทม.และปริมณฑล และจังหวัดต่าง ๆ ในภาคตะวันออกมีแนวโน้มความเข้มข้นของฝุ่น PM 2.5 เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

ข้อเท็จจริงนี้ตรงกับข้อมูลความหนาแน่นของจุดความร้อนในกัมพูชาที่เพิ่มขึ้นทวีคูณตลอดระยะเวลา 18 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ. จะมีการสะสมของฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพ จะมีฝุ่นควันที่ลอยมาจากกัมพูชา ภาคเหนือจะมาจากเมียนมาและลาว โดยพบกลุ่มควันที่ลอยมาจากไฟป่าพรุจากเกาะสุมาตรา อินโดนีเซีย เห็นได้ชัดจากภาพถ่ายดาวเทียม แต่ฝุ่นควันอินโดฯ ไม่กระทบต่อไทยมากนัก

ช่วงที่สอง ระหว่างเดือน มี.ค.-เม.ย. พบความหนาแน่นของจุดความร้อนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในลาวเหนือ เมื่อลมท้องถิ่นพัดขึ้นจากภาคกลางไปสอบรวมกับลมตะวันออกเฉียงเหนือเกิดเป็นบริเวณชะงักของลมเหนือบริเวณรอยต่อ เมียนมา-ไทย-ลาว เกิดฝุ่น PM 2.5 สะสมใน จ.เชียงราย พะเยา และ น่าน

รองลงมา คือ จังหวัดที่ติดกับประเทศลาวต่างๆ ๆ และจังหวัดในภาคกลางโดยมีแนวโน้มความเข้มข้นที่ อุบลราชธานีมีการเพิ่มขึ้นจากความหนาแน่นของจุดความร้อนในลาวใต้และกัมพูชา

ส่วนจุดความร้อนในพื้นที่อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (ตอนบนของไทย ตอนบนของ สปป.ลาว และรัฐฉานของเมียนมา) ปี 2558-2561 และ 2563 พบจุดความร้อนมากที่สุดในพื้นที่ป่าผลัดใบ และในปี 2562 พบจุดความร้อนมากที่สุดในพื้นที่ปลูกข้าวโพด

ที่ลาว พบมีการเผาข้าวโพดเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดตั้งแต่ 2562 เป็นต้นมา ในแขวงไชยบุรี และหลวงพระบาง และตามแนวตะเข็บชายแดนไทย-เมียนมา ด้านนอก อ.พบพระ

"อาเซียน" ต้องกล้าขัดแย้ง แก้ปัญหา "ควันข้ามแดน"

แม้ไทยจะลงนามในข้อตกลงอาเซียนว่าด้วยมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน (ASEAN Agreement on Transboundary Haze Pollution) ตั้งแต่ปี 2545 มีจุดประสงค์เพื่อลดหมอกพิษในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่อยู่บนหลักความสมัครใจและไม่มีข้อผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศ

จึงทำให้ไทยและประเทศเพื่อนบ้านมักหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง แทนที่จะเจรจาและร่วมมือกันบนพื้นฐานข้อมูลทางวิทยาศาสตร์อย่างโปร่งใสและเป็นธรรม

คณะทำงานฯ จึงมีข้อเสนอว่า การเริ่มต้นของการทำงานร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรมของกลุ่มสมาชิกบนพื้นฐานข้อมูลวิทยาศาสตร์จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ เนื่องจากเป็นข้อมูลเชิงประจักษ์และสามารถพิสูจน์ รัฐบาลไทยจึงอาจเล่นบทบาทนำในการส่งเสริม การแลกเปลี่ยนข้อมูลเรื่องการเผาในที่โล่งกับประเทศเพื่อนบ้าน

และมีการเฝ้าติดตามจำนวนจุดความร้อนในชายแดนให้ต่อเนื่องและใกล้ชิด เพื่อประมวลและวิเคราะห์สถานการณ์ และผลการดำเนินการของแต่ละประเทศ ควบคู่กับกลไกระดับประเทศในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี

  • มาตรการการป้องกัน (Preventive Measures)
  • กลไกการติดตามและเฝ้าระวังระดับภูมิภาค (Regional Monitoring Mechanisms)
  • การเพิ่มความสามารถในการต่อสู้กับไฟ (Fire Fighting Capacity)
  • นโยบายการเผาเป็นศูนย์ (Zero Burning Policy)

อย่างไรก็ตาม สำหรับไทยกฎหมายภายในประเทศ ส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์เพื่อการจัดการปัญหาคุณภาพอากาศ หรือ การเผาพื้นที่ป่าไม้ภายในประเทศเท่านั้น โดยไม่สามารถบังคับถึงประเทศต้นทางที่สร้างมลพิษทางอากาศได้

ขณะที่กฎบัตรสมาคมแห่งประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระบุตอนหนึ่งว่า “เคารพความสำคัญพื้นฐานของมิตรภาพและความร่วมมือ และหลักการแห่งอธิปไตย”

จึงทำให้อาเซียนมักหลีกเลี่ยงข้อขัดแย้ง แทนที่จะใช้กลไกแก้ไขข้อพิพาทที่มีการเจรจาต่อรองบนพื้นฐานข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ อย่างโปร่งใสและเป็นธรรม

อ่านข่าว :

อัปเดต! ข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีแก้ฝุ่น "ตาก-กาญจนบุรี" เผาหนัก

"นฤมล" แจงตัดงบฝนหลวง-ยันคงภารกิจลด PM 2.5

ครม.เทงบ 620 ล้านบาทแก้ไฟป่า หมอกควัน ฝุ่นละออง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง