บางบริษัท บอกว่า มีเจ้าของบ้านเข้าคิวรอรับบริการไม่ต่ำกว่า 200 คน ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ว่า การบริการแบบนี้ไม่ยุติธรรมกับคนธรรมดาทั่วไป
ตามปกติบ้านหรู ๆ ในสหรัฐฯ โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงเกิดไฟป่าอย่างแคลิฟอร์เนีย ก็มักที่จะทำประกันกันอยู่แล้ว แต่ถ้าเลือกได้ เจ้าของบ้านกระเป๋าหนักทั้งหลายก็คงจะไม่อยากให้บ้านของตัวเองที่เต็มไปด้วยความทรงจำต้องถูกเผาจนวอดวาย และนี่เองคือที่มาของธุรกิจรับดับเพลิงที่กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนอยู่ในตอนนี้
ภาพมุมสูงแสดงให้เห็นบ้านหรูที่เรียงรายอยู่ริมชายหาดในย่านมาลิบู ซึ่งถูกไฟป่าเผาทำลายจนไม่เห็นสภาพเดิม แต่ถ้าสังเกตดูดี ๆ จะเห็นว่า บ้านบางหลังแทบไม่เป็นอะไรเลย หรืออาจจะเสียหายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในขณะที่บ้านรอบ ๆ กลายเป็นตอตะโก
แม้จะไม่ได้มีการยืนยันจากเจ้าของบ้าน แต่จากภาพที่เห็นก็ทำให้เราสามารถประเมินได้ว่า บ้านเหล่านี้น่าจะได้รับการปกป้องที่พิเศษกว่าบ้านหลังอื่น ๆ และหนึ่งในวิธีปกป้องที่เป็นไปได้ นอกเหนือจากการสร้างบ้านด้วยวัสดุที่ป้องกันไฟ นั่นคือ การจ้างผู้เชี่ยวชาญพิเศษในการรับมือกับไฟป่า
บริษัทดับเพลิงเอกชนที่รับงานป้องกันไฟป่าไม่ใช่ธุรกิจใหม่ในสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันเปิดกระจายตัวอยู่ในหลายรัฐทั่วประเทศและทำรายได้ไม่น้อยเลยทีเดียว โดยข้อมูลจากบริษัทดับเพลิง Grayback Forestry ในรัฐออริกอน ประเมินค่าจ้างคร่าว ๆ อยู่ที่วันละ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือตัวเลขกลม ๆ คือ 100,000 /วัน สำหรับบริการขนาดย่อมที่มีพนักงานดับเพลิง 2 คนกับรถขนาดเล็ก 1 คัน
แต่ถ้าเป็นบริการที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อย มีรถดับเพลิงให้ 4 คัน กับพนักงานอีก 20 คน ราคาค่าบริการจะอยู่ที่วันละ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 350,000 บาท ซึ่งจริง ๆ แล้ว บริษัทแต่ละแห่งอาจจัดแพ็กเกจการให้บริการที่แตกต่างกันออกไป โดยส่วนใหญ่มักจะเป็นการเตรียมการล่วงหน้าก่อนที่ไฟจะมาถึง ไม่ว่าจะเป็นการกำจัดต้นไม้และวัชพืชที่อาจเป็นเชื้อไฟ ฉีดพ่นสารเคมีป้องกันไฟ และปิดช่องระบายอากาศด้วยเทปป้องกันไฟ หรือบางบริการอาจจัดเจ้าหน้าที่คอยเฝ้าระวังและฉีดน้ำป้องกันบ้านจากไฟ
ความต้องการใช้งานบริษัทดับเพลิงเอกชนในสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ท่ามกลางสถานการณ์ไฟป่าที่รุนแรงมากขึ้นและเกิดบ่อยขึ้น โดยข้อมูลจากสมาคมป้องกันไฟป่าแห่งชาติสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตัวแทนกลุ่มดับเพลิงเอกชนมากกว่า 300 แห่งทั่วประเทศ ชี้ว่า นักดับเพลิงที่ทำงานสู้กับไฟป่าในสหรัฐฯ ร้อยละ 45 มาจากบริษัทเอกชน
โดยส่วนใหญ่เป็นการจ้างงานผ่านการทำสัญญากับภาครัฐ ซึ่งอาจจะให้พนักงานดับเพลิงเอกชนเข้ามารับผิดชอบเรื่องการดับไฟป่า หรืออาจจะเป็นทีมเสริมให้กับเจ้าหน้าที่ดับเพลิงท้องถิ่น เมื่อจำเป็น
ขณะที่ลูกค้าสำคัญอีกกลุ่มหนึ่ง คือ บริษัทประกันที่ต้องการลดความเสี่ยงของการสูญเสีย เพราะในท้ายที่สุดแล้ว ถ้าบ้านที่มีประกัน เกิดไฟไหม้เสียหายหนัก บริษัทประกันก็ต้องเจ็บหนักเช่นกัน ดังนั้น เวลาขายประกัน จึงอาจพ่วงกรมธรรม์เรื่องการป้องกันไฟป่าเข้าไปด้วย แต่ในระยะหลัง ๆ มานี้ หลายบริษัท ระบุว่า มีเจ้าของบ้านติดต่อเข้ามาโดยตรงเพื่อขอรับบริการเพิ่มมากขึ้น
ในขณะที่การจ้างพนักงานดับเพลิงเอกชนต้องจ่ายวันละเป็นแสน ๆ แต่ภาครัฐจ่ายค่าจ้างให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงในสังกัดถูกกว่า อย่างกรมป่าไม้และป้องกันไฟแคลิฟอร์เนีย หรือ CAL FIRE จ้างเจ้าหน้าที่เป็นฤดูกาลสูงสุด 9 เดือน จ่ายค่าจ้างสูงสุดเดือนละไม่เกิน 7,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 240,000 บาท
โดยแต่ละรัฐ แต่ละหน่วยงาน จะมีเงื่อนไขการจ้างงานและรายได้ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งบางที่จ่ายแค่เดือนละ 3,000 ดอลลาร์ หรือราว ๆ 100,000 บาท ขณะที่มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ได้รับรายได้พิเศษจากการทำภารกิจดับไฟป่าในครั้งนี้เพิ่มชั่วโมงละ 1 ดอลลาร์ หรือประมาณ 35 บาทเท่านั้น แถมยังต้องทำงานกะละ 24 ชั่วโมงอีกด้วย
ปัจจุบัน ทางการระดมเจ้าหน้าที่ดับเพลิงมากกว่า 14,000 คน จากแคลิฟอร์เนียและอีก 9 รัฐ พร้อมด้วยรถดับเพลิงมากกว่า 1,300 คัน และเครื่องบิน 84 ลำ ทำภารกิจในหลายจุดทั่วลอสแอนเจลิสมาตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นอกจากนี้ยังได้รับความช่วยเหลือจากทีมนักดับเพลิงแคนาดาและเม็กซิโกด้วย แต่ไม่ว่าทรัพยากรจะมีมากแค่ไหนก็ดูจะไม่เพียงพอในการรับมือกับวิกฤตไฟป่าที่รุนแรงขนาดนี้
โจทย์ใหญ่ของการจ้างพนักงานดับเพลิงเอกชนช่วงเกิดไฟป่า คือ พนักงานเหล่านี้จะใช้น้ำจากไหนเพื่อดับไฟ โดยเฉพาะในช่วงที่เจ้าหน้าที่ยังมีน้ำไม่เพียงพอในการรับมือ กับสถานการณ์ และแม้บางบริษัทจะระบุว่า เตรียมน้ำมาเอง หรืออาจใช้น้ำจากเจ้าของบ้าน ผู้ประสบภัยจำนวนมากก็ยังมองว่าไม่ยุติธรรมอยู่ดี เพราะแทนที่จะใช้เพื่อประโยชน์ส่วนรวม แต่กลับเอาน้ำไปช่วยบ้านคนรวย
อ่านข่าวอื่น :