"สึนามิ" มหันตภัยที่ยากจะคาดการณ์
"สึนามิ" เป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่สร้างผลกระทบรุนแรงในวงกว้าง นับตั้งแต่การทำลายล้างชีวิตผู้คนจำนวนมาก ไปจนถึงความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม สึนามิแสดงให้เห็นถึงพลังมหาศาลที่ซ่อนอยู่ในธรรมชาติ ซึ่งเกิดขึ้นเงียบ ๆ ใต้มหาสมุทร ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นยักษ์ที่พัดถล่มทุกสิ่งในเส้นทาง เป็นเหตุการณ์ที่สะท้อนให้เห็นว่ามนุษย์ แม้จะพัฒนาความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เพียงใด ก็ยังคงต้องเผชิญกับพลังธรรมชาติที่ควบคุมไม่ได้
ต้นกำเนิดพลัง กลไกการเกิด "สึนามิ"
การเกิดสึนามิเปรียบเสมือนการโยนก้อนหินลงไปในน้ำจนเกิดคลื่นวงแหวน แต่ในกรณีของสึนามิ "ก้อนหิน" นั้นคือแผ่นดินไหวใต้ทะเล หรือแม้กระทั่งภูเขาไฟระเบิดและแผ่นดินถล่ม ความรุนแรงขึ้นอยู่กับขนาดและตำแหน่งของแผ่นดินไหว ซึ่งในบางครั้งอาจเกิดคลื่นสูงถึง 30 เมตรเมื่อเข้าสู่ชายฝั่ง การสะสมพลังงานในแผ่นเปลือกโลกที่เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ แต่รุนแรงนี้ เป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำ
นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่า สึนามิเกิดจากการปลดปล่อยพลังงานมหาศาลอย่างฉับพลันในมหาสมุทร ซึ่งมีสาเหตุหลัก 4 ประการ ได้แก่
1.แผ่นดินไหวใต้มหาสมุทร เกิดจากการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก เมื่อแผ่นเปลือกโลก 2 แผ่น เคลื่อนที่มาชนหรือแยกตัวกัน แรงเสียดทานและการสะสมพลังงานทำให้เกิดการปลดปล่อยพลังงานอย่างกะทันหัน ส่งผลให้ผิวน้ำทะเลเกิดการกระเพื่อมและก่อตัวเป็นคลื่นสึนามิ ยิ่งแผ่นดินไหวมีความรุนแรงและลึกน้อยเท่าไร คลื่นที่เกิดขึ้นยิ่งใหญ่เท่านั้น
2.ภูเขาไฟใต้น้ำระเบิด การระเบิดของภูเขาไฟใต้น้ำทำให้น้ำถูกแทนที่อย่างรวดเร็ว จนเกิดการกระเพื่อมของน้ำทะเลอย่างรุนแรง
3.ดินถล่มใต้มหาสมุทรหรือชายฝั่ง มวลดินหรือหินจำนวนมากที่เคลื่อนตัวลงสู่มหาสมุทร ทำให้เกิดการแทนที่ของน้ำอย่างฉับพลันและส่งพลังงานมหาศาลให้กลายเป็นคลื่นสึนามิ
4.อุกกาบาตขนาดใหญ่ตกลงสู่มหาสมุทร แม้จะเกิดขึ้นได้ยาก แต่การกระแทกของอุกกาบาตสามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนมหาศาลและคลื่นสึนามิที่มีความรุนแรงเกินจินตนาการ
การกระจายพลังงานของ "สึนามิ"
ในมหาสมุทรเปิด สึนามิอาจดูเหมือนคลื่นปกติที่มีความสูงเพียง 1-2 เมตร แต่สามารถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงถึง 500-800 กม./ชม. ซึ่งเทียบเท่ากับความเร็วของเครื่องบินไอพ่น เมื่อคลื่นเดินทางเข้าสู่ชายฝั่ง น้ำทะเลที่ถูกบีบอัดให้แคบลงจะยกตัวสูงขึ้นและกลายเป็นกำแพงน้ำยักษ์ที่มีพลังทำลายล้างมหาศาล
จากการศึกษาทางธรณีวิทยา พบว่าพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดสึนามิ ได้แก่ บริเวณวงแหวนแห่งไฟ (Ring of Fire) ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ในมหาสมุทรแปซิฟิก เช่น ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และชายฝั่งตะวันตกของทวีปอเมริกาใต้และอเมริกาเหนือ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่แผ่นเปลือกโลกชนกันบ่อยครั้ง ทำให้เกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด
ในทางตรงกันข้าม พื้นที่ชายฝั่งในมหาสมุทรแอตแลนติก เช่น ยุโรปตะวันตกและแอฟริกา มีความเสี่ยงต่ำกว่าเพราะแผ่นเปลือกโลกในบริเวณนั้นเคลื่อนตัวน้อยกว่า
ประเทศญี่ปุ่นถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด เนื่องจากตั้งอยู่บนรอยต่อของแผ่นเปลือกโลกหลายแผ่น ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่า สึนามิครั้งใหญ่หลายครั้งเกิดขึ้นในพื้นที่นี้ เช่น สึนามิที่เมืองเซนไดในปี 2011
"สึนามิ" ความสูญเสียที่ยากจะประเมิน
เหตุการณ์สึนามิในมหาสมุทรอินเดียปี 2004 เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของผลกระทบจากธรรมชาติที่เกินกว่ามนุษย์จะควบคุมได้ คลื่นยักษ์ที่เกิดจากแผ่นดินไหวขนาด 9.1-9.3 นำพาความเสียหายข้ามประเทศ ทั้งในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีผู้เสียชีวิตกว่า 230,000 คน และทรัพย์สินหลายล้านครอบครัวถูกทำลาย อีกตัวอย่างคือ สึนามิในญี่ปุ่นปี 2011 ซึ่งไม่ได้เพียงทำลายบ้านเรือนและชีวิต แต่ยังสร้างวิกฤตนิวเคลียร์ที่โรงไฟฟ้าฟุกุชิมะ ที่ยังคงเป็นปัญหาเรื้อรังมาจนถึงปัจจุบัน
- ชีวิตและความสูญเสีย สึนามิสามารถคร่าชีวิตคนจำนวนมากในเวลาไม่กี่นาที ตัวอย่างเช่น สึนามิปี 2004 มีผู้เสียชีวิตกว่า 230,000 คนใน 14 ประเทศ
- เศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐาน อาคาร บ้านเรือน ถนน และท่าเรือถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง ประเทศต้องใช้เวลาและงบประมาณจำนวนมากในการฟื้นฟู
- ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สึนามิทำลายป่าชายเลน แนวปะการัง และระบบนิเวศชายฝั่ง อีกทั้งยังนำมาซึ่งการปนเปื้อนของสารเคมีและน้ำเค็มสู่พื้นที่เกษตร
- วิกฤตการณ์ระยะยาว เหตุการณ์สึนามิที่ญี่ปุ่นปี 2011 ไม่เพียงทำลายชีวิตและบ้านเรือน แต่ยังทำให้เกิดวิกฤตการณ์นิวเคลียร์ฟุกุชิมะ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนจนถึงปัจจุบัน
10 สึนามิที่รุนแรงที่สุดของโลก
- สุมาตรา, อินโดนีเซีย (2004) แผ่นดินไหวขนาด 9.1 คลื่นสูง 50 ม. พัดลึก 5 กม. คร่าชีวิตประมาณ 230,000 คน และสร้างความเสียหายกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- เซนได, ญี่ปุ่น (2011) แผ่นดินไหวขนาด 9.0 คลื่นสูง 10 ม. คร่าชีวิตประมาณ 18,000 คน และเกิดวิกฤตนิวเคลียร์ ความเสียหายรวม 235,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- ลิสบอน, โปรตุเกส (1755) แผ่นดินไหวขนาด 8.5 คลื่นสูง 30 ม. ส่งผลถึงแคริบเบียน คร่าชีวิตประมาณ 60,000 คน
- กรากาเตา, อินโดนีเซีย (1883) การปะทุของภูเขาไฟสร้างคลื่นสูง 37 ม. ทำลายเมืองชายฝั่งและคร่าชีวิตประมาณ 40,000 คน
- ทะเลเอนชูนาดะ, ญี่ปุ่น (1498) แผ่นดินไหวขนาด 8.3 คลื่นทำลายแนวชายฝั่ง คร่าชีวิตประมาณ 31,000 คน
- นันไคโดะ, ญี่ปุ่น (1707) แผ่นดินไหวขนาด 8.4 คลื่นสูง 25 ม. คร่าชีวิตประมาณ 30,000 คน
- ชิลีตอนเหนือ (1868) แผ่นดินไหวขนาด 8.5 คลื่นสูง 21 ม. ส่งผลทั่วมหาสมุทรแปซิฟิก คร่าชีวิตประมาณ 25,000 คน
- ซันริคุ, ญี่ปุ่น (1896) แผ่นดินไหวขนาด 7.6 คลื่นสูง 38 ม. คร่าชีวิตประมาณ 22,000 คน
- หมู่เกาะริวกิว, ญี่ปุ่น (1771) แผ่นดินไหวขนาด 7.4 คลื่นสูง 11-15 ม. คร่าชีวิตประมาณ 12,000 คน
- อ่าวอิเสะ, ญี่ปุ่น (1586) แผ่นดินไหวขนาด 8.2 คลื่นสูง 6 ม. คร่าชีวิตประมาณ 8,000 คน
แม้เราไม่สามารถหยุดยั้งสึนามิได้ แต่เราสามารถป้องกันและเตรียมพร้อมเพื่อให้ความเสียหายลดน้อยลง ด้วยระบบเตือนภัยสึนามิ ที่ในหลายประเทศมีการติดตั้งเครื่องตรวจจับแผ่นดินไหวและระดับน้ำทะเล เพื่อแจ้งเตือนประชาชนล่วงหน้า การศึกษาและฝึกซ้อมรับมือ ประชาชนควรได้รับความรู้เรื่องสึนามิ เช่น หากเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ควรอพยพขึ้นที่สูงทันที แนวป้องกันธรรมชาติ เช่น การปลูกป่าชายเลนและสร้างกำแพงกันคลื่นสามารถช่วยชะลอความรุนแรงของคลื่นได้ สุดท้ายคือ เส้นทางอพยพและที่หลบภัย ที่ควรมีการวางแผนและจัดสร้างสถานที่หลบภัยในพื้นที่เสี่ยงสึนามิ
"สึนามิ" ถือเป็นเครื่องเตือนมนุษย์ ให้เห็นถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ แม้จะมีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า แต่เรายังคงต้องเรียนรู้และอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างเคารพ การป้องกันและการเตรียมพร้อมคือหนทางที่ดีที่สุดในการลดความสูญเสีย และสร้างความปลอดภัยให้กับผู้คนในพื้นที่เสี่ยงภัยทั่วโลก
“20 ปี สึนามิ จุดเปลี่ยนภัยพิบัติ”
ไทยพีบีเอส ขอเชิญชวนคนไทย ร่วมรำลึก “20 ปี สึนามิ จุดเปลี่ยนภัยพิบัติ” ตลอดเดือนธันวาคมนี้ ทางไทยพีบีเอส และทุกช่องทางออนไลน์ www.thaipbs.or.th/Disaster
อ่านข่าวเพิ่ม :
20 ปีสึนามิ จุดเปลี่ยนรับมือ "ภัยพิบัติ"