ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

เปิดดีลสัมพันธ์ “กลุ่มชาติพันธุ์” สานประโยชน์เศรษฐกิจชายแดน

ต่างประเทศ
17 ธ.ค. 67
17:44
305
Logo Thai PBS
เปิดดีลสัมพันธ์ “กลุ่มชาติพันธุ์” สานประโยชน์เศรษฐกิจชายแดน
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)

การค้าชายแดนที่ด่านแม่สอด ฝั่งตรงข้าม อ.เมียวดี เมียนมา ถือเป็นหัวใจสำคัญของไทย หากการค้าด่านแม่สอดชะงัก ก็ส่งผลกระทบหนัก ในแต่ละปี ไทยมีการค้ากับเมียนมาเกือบหมื่นล้านบาท แต่ปัจจุบันการค้าซบเซาลง หากทำให้ทุกกลุ่มได้ประโยชน์ และเมียนมามีสันติภาพ ก็จะสามารถอยู่ร่วมกันได้  

เมื่อวันที่16 ธ.ค.2567 ที่ผ่านมา ได้มีการจัดเวทีเสวนา เรื่อง "Myanmar and Thailand Relations at The Crossroads: A Strategic Policy Recommendation นำเสนอโดย นายสุภลักษณ์ กาญจนขุนดี กรรมการศูนย์นโยบายยุทธศาสตร์ (Center For Strategic Policy) เสนอแนะต่อที่ประชุมนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ มีหลายประเด็นที่น่าสนใจ โดยเฉพาะวิกฤตการณ์ในเมียนมา หลังมีเสียงมีเรียกร้องให้ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้นำสูงสุดเมียนมา ลงจากตำแหน่ง และหาคนอื่นมาแทน

นายสุภลักษณ์ กล่าวว่า สงครามกลางเมืองที่ผ่านมา ทำให้เศรษฐกิจในเมียนมาติดลบ 18-19 เปอร์เซ็นต์ โดยที่รัฐบาลไม่สามารถควบคุมได้ และหากประเมินสถานการณ์จะเห็น ว่า มีการเผชิญหน้าระหว่างกองทัพและฝ่ายต่อต้าน โดยเฉพาะกลุ่มกองทัพมียนมาหรือ “ตัดมาดอว์” (Tatmadaw) กำลังประสบปัญหา อัตรากำลังถดถอยจากกองกำลังติดอาวุธที่มีจำนวน 150,000 นาย เหลือเพียง 75,000 นาย

“การเข้าควบคุมพื้นที่ของกองทัพเมียนมาเหลือร้อยละ 20-60 ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่น ขณะที่ฝ่ายต่อต้านมี 2 กลุ่มใหญ่ แต่ก็ขาดความเป็นเอกภาพทางชาติพันธุ์ โดยเป้าหมายในการต่อสู้กับเมียนมา มีหลายกลุ่ม ทั้งกองกำลังพิทักษ์ประชาชน ( PDF ) และกองกำลังติดอาวุธของรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) ซึ่งจะมีอีก 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ PDF , NUG ใน PDF, KNU และ PDF แบบกลุ่มอิสระ

นายสุภลักษณ์ กล่าวว่า กองกำลังแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์จะมีเป้าหมายแตกต่างกันบางกลุ่มเข้าร่วมกับกองกำลังติดอาวุธของรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ( NUG )หรือรัฐบาลเงาของอดีตสมาชิกพรรค NLD ซึ่งเคลื่อนไหวและมีฐานที่มั่นอยู่ในรัฐกะเหรี่ยง ฝั่งตรงข้ามชายแดนด้านตะวันตกของประเทศไทย และสนับสนุน Federal ส่วนใหญ่เป็นชาวคริสเตียน อยากมีอำนาจอธิปไตยของตนเอง

กลุ่มว้าแดง ซึ่งอยู่ทางรัฐฉาน และขยายพื้นที่ลงมาติดชายแดนไทย ต้องการแยกเป็นรัฐอิสระ ต้องการอยากมีชื่อปรากฏในรัฐธรรมนูญของเมียนมา

ส่วนกลุ่มต่อต้านอื่น ๆ ก็ขาดความเป็นเอกภาพ อย่างไรก็ตาม หากนำตัว เลขมาวัดถือว่าสูสี ในทางคณิตศาสตร์สามารถสู้กันได้ แต่ถ้ากลุ่มต่อต้านแยกจากกันมาและหันมาต่อกรกับกองทัพเมียนมา ก็ยังทำไม่ได้ จึงให้กองทัพยังครองอำนาจอยู่ต่อไป และกลายเป็นที่มาของความยืดเยื้อ

อย่างไรก็ตาม หากย้อนกลับมาพิจารณาด้านภูมิรัฐศาสตร์ พบ ประเทศเมียนมา แม้จะโดดเดี่ยวตนเอง แต่กลับได้รับความสนใจมากที่สุด จากประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะมหาอำนาจ อย่าง จีน เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์มากแทบทุกมิติ

ในด้านเศรษฐกิจ จีนใช้เมียนมาเป็นเส้นทางเชื่อมเศรษฐกิจ จากมณฑลยูนนาน มีการวางท่อแก๊ส ระบบขนส่ง เชื่อมกับเมียนมา ดังนั้นจีนจึงจำเป็นต้องรักษาเส้นทางนี้มากที่สุด แม้จะมีกลุ่มต่อต้านรัฐบาลจีน และรับเงินจากกลุ่มจีนเทาเข้ามาเคลื่อนไหว

“เมียนมามีกลุ่มแร่หายากที่เรียกว่า rare earth เป็นสินแร่หายาก ทรัพยากรสำคัญของโลก ใช้ในผลิตโทรศัพท์ จรวด ทำให้จีนไม่อาจทิ้งเมียนมาได้ และมหาอำนาจรู้ว่า อะไรสำคัญในเมียนมา”

จะเห็นได้ว่า จีน มีความสนิทแนบแน่นกับเมียนมา โดยมอบเรือดำน้ำให้ ในเวลาเดียวกัน เมียนมาก็รับเรือดำน้ำจากอินเดียอีกด้วย ทำให้เมียนมาไม่ต้องเสียเงินซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำ

ดังนั้นอาจทำให้สหรัฐ กลับมาให้ความสนใจ rare earth ในเมียนมาอีกครั้ง เพราะต้องการคานอิทธิพลกับจีน แม้จะมีปัญหาสิทธิมนุษยชนจนทำให้ต้องถอนการลงทุนออกไปจากเมียนมา

นายสุภลักษณ์ ระบุว่า ที่ผ่านมาทางจีนสนับสนุนเงินให้กลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อส่งผ่านนโยบาย โดยมีพิมพ์เขียว และต้องการชี้นำเมียนมา เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้ง โดยมีกองทัพเมียนมาและกองทัพชาติพันธุ์( SAC ) เป็นแกนนำ แม้บางพื้นที่ทำไม่ได้ แต่หากควบคุมได้เพียงร้อยละ 80 ของดินแดน ในปี 2568 ก็สามารถการจัดเลือกตั้งได้

ส่วนผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับไทย ในกรณีที่เกิดการสู้รบในเมียนมา คือ ปัญหาอาชญากรรมข้ามพรมแดน (cross border crime ) และปัญหาผู้ลี้ภัย ที่หลีกเลี่ยงไม่พ้น รวมทั้งปัญหากระสุนข้ามแดน การบินรุกล้ำน่านฟ้า ธุรกิจสีเทา การค้ามนุษย์ ตลาดยาเสพติด ซึ่งจะเข้ามาพร้อม ๆ กับผู้อพยพจำนวนมากที่หนีร้อนมาพึ่งเย็น

แม้ในฝั่งเมียนมาจะมีการดักเก็บ"ก็อก" หรือค่าผ่านทางของกลุ่มชาติพันธุ์ด่านละ 1,000 บาท มากถึง 20-30 ด่าน หรือเหมาจ่ายด่านละ 1,000 บาท จะทำให้ต้นทุนการประกอบการสูงขึ้น แต่การค้าในอดีตก็ไม่เคยชะงัก ต่างจากปัจจุบันที่การค้าตกต่ำลงมาก

ดังจะเห็นได้ว่า ทั้งไทยและเมียนมา มีการทำการค้าตามแนวชายแดน ด้าน อ. แม่สอด-ไปย่างกุ้ง ขณะที่ไทยก็เข้าไปลงทุนในเมียนมาไม่น้อย และหลังจากเมียนมามีการบังคับให้เกณฑ์ทหารจะเห็นได้ว่า มีชาวเมียนมา อพยพเข้ามาอยูู่ในประเทศไทยจำนวนมาก มีตัวเลขระบุว่า ปัจจุบันมีชาวเมียนมาอาศัยในไทยกว่า 4 ล้านคน

“ผู้ที่ครอบครองคอนโดมีเนียม พบว่า ชาวเมียนมา เป็นอันดับ 2 รองจากชาวจีน ส่วนผู้ลี้ภัยการสู้รบบริเวณชายแดนไทย-เมียนมาที่เข้ามาอยู่ในศูนย์ผู้ลี้ภัย 9 แห่ง ใน 4 จังหวัดของไทย คือ จ.ตาก , แม่ฮ่องสอน, กาญจนบุรี และราชบุรี ดังนั้นไทยต้องคิดว่า ในระยะยาวจะทำอย่างไร เพราะไม่รู้ว่า สงครามจะจบเมื่อไร และอาจต้องสร้างที่อยู่ถาวร ไม่ควรให้อยู่เพิงพัก มีงานให้ทำ หรือให้ออกไปทำงานข้างนอกเพื่อให้เขามีรายได้ รวมทั้ง จัดการดูแลเรื่องสุขภาพและการศึกษา”

อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นหลาย ๆ อย่าง คือ ภาระรัฐบาลไทย ดังนั้นจะทำอย่างไร ต้องคิดเป็นระบบ และต้องผสานความร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ ในชาย แดน

จะทำอย่างไร เพื่อไม่ให้ไทยเป็นประเทศผู้สงเคราะห์ และมีบทบาทในการจัดการให้ความช่วยเหลือนานาชาติ โดยให้ประชาชนท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมบริการจัดการ ในฐานะเจ้าของพื้นที่

สำหรับข้อเสนอเพื่อพิจารณาในภูมิรัฐศาสตร์ นายสุภลักษณ์ เสนอ 3 แนวทาง คือ ทำอย่างไรกับจีนที่มีอิทธิพลมาก และจะดีลกับสหรัฐฯ อย่างไร และใช้ ASEAN แก้ไขปัญหาอย่างไรในการสร้างดุลยภาพ และไทยจะมีบทบาทนำอย่างไร การประชุมระหว่างไทยและประเทศอื่น ๆ ที่ติดกับเมียนมา หาทางออกอย่างไร เรามีปัญหาเดียวกับจีนในการรับผู้อพยพ และต้องทราบว่า ควรร่วมมือกับใครในทวิภาคี

โดยโอกาสทางยุทธศาสตร์ มี 2 ประเด็น ไทยจะวางตำแหน่งอย่างไร เป็นตัวกลางหรือไม่ในการสร้างสันติภาพ และจะสร้างเครือข่ายความมั่นคง ทางทหาร เศรษฐกิจ หรืออื่น ๆ อย่างไร

ส่วนข้อเสนอทางนโยบาย เนื่องจาก ไทยต้องข้องเกี่ยวกับทุกฝ่าย หากใกล้ SAC มากเกินไป อาจถูกมองว่าไม่ค่อยเป็นกลาง จึงต้องวางเป็นกลาง และต้องจัดวางความสัมพันธ์ในแต่ละกลุ่ม เช่น กลุ่มว้าแดง จะข้องเกี่ยวอย่างไร หรือการพูดคุยกับ NUG เป้าหมายต้องชัด ปัญหาในเมียน มา มีความซับซ้อนต้องมีกระบวนการคัดเลือก คณะทำงานในการแก้ไขปัญหา

นอกจากนี้ การจัดการชายแดน อยากเสนอให้มีการใช้เทคโนโลยีในการเพิ่มประสิทธิภาพ ระบบโดรนและ AI ซึ่งกองทัพบกกำลังดำเนินการ เช่น ใช้โดรนลาดตระเวน รวมทั้งการมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มชาติพันธุ์ทุกกลุ่ม เช่น กองกำลังชายแดน เช่น ว้าแดง หรือการพูดคุยเรื่องการตรวจร่วมกันระหว่าง KNU , BGF โดยต้องสานสัมพันธ์และมีดีลกันให้ได้ เพื่อจัดการปัญหาอาชญากรรมข้ามพรมแดน

อ่านข่าว

"เมียนมา" ทางสองแพร่ง บทบาทไทยสร้าง "สันติภาพถาวร"

"โดรน" ยุทธภัณฑ์สงคราม เทคโนโลยีความมั่นคง "กองทัพไทย"

“ปานปรีย์” ชี้ ไทย-เมียนมา การทูต -ความมั่นคง แก้ปัญหา “ว้าแดง”

"โดรน" ยุทธภัณฑ์สงคราม เทคโนโลยีความมั่นคง "กองทัพไทย"
ข่าวที่เกี่ยวข้อง