วันที่ 23 มี.ค. หรือ 1 วันหลังเกิดเหตุโจมตี ถือเป็นวันครบรอบ 5 ปีที่กลุ่มพันธมิตรที่นำโดยสหรัฐฯ สามารถขับไล่ IS ออกจากฐานที่มั่นสุดท้ายในซีเรียได้สำเร็จ ปิดฉากอำนาจครอบครองดินแดนอิรักและซีเรียของกลุ่มก่อการร้ายกลุ่มนี้ แต่จริงๆ แล้ว IS ไม่เคยหายไปไหนและยังคงก่อเหตุโจมตีทั่วโลกนับพันๆ ครั้งในแต่ละปี
นับตั้งแต่เดือน มี.ค.2019 จนถึงปัจจุบัน เหตุโจมตีที่ IS อ้างว่าอยู่เบื้องหลังมีจำนวนลดลงทุกปี จากมากกว่า 3,300 ครั้ง เหลือเพียง 1,121 ครั้ง ในจำนวนนี้เป็นเหตุโจมตีนอกอิรักและซีเรีย 774 ครั้ง โดยมีจุดน่าสนใจ 2 จุด คือ ตัวเลขเหตุโจมตีนอกพื้นที่อิทธิพลเดิมของ IS ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก และนับตั้งแต่เดือน มี.ค.2023 เป็นต้นมา แม้จะเกิดเหตุโจมตีไม่มากเท่ากับปีอื่นๆ แต่ยอดผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บมีไม่ต่ำกว่า 4,770 คน
รายงานดัชนีการก่อการร้ายโลกประจำปีนี้ ซึ่งเผยแพร่เมื่อต้นเดือน มี.ค.2024 ชี้ว่า กลุ่ม IS ถือเป็นกลุ่มก่อการร้ายที่อันตรายมากที่สุดของโลก ติดต่อกันเป็นปีที่ 9 โดยทำสถิติทั้งก่อเหตุมากที่สุดและทำให้มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด ขณะที่เมื่อปี 2023 กลุ่มก่อการร้ายกลุ่มนี้ลงมือก่อเหตุใน 20 ประเทศทั่วโลก
IS มีเครือข่ายหลักๆ 8 กลุ่มด้วยกัน กระจายอยู่ในตะวันออกกลาง แอฟริกา เอเชียกลางและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใต้ชื่อ ISEA หรือ รัฐอิสลามเอเชียตะวันออก ซึ่งมีสมาชิกหลักร้อย น้อยกว่า IS ในภูมิภาคอื่นๆ เช่น ISIS ในอิรักและซีเรีย ซึ่งมีสมาชิกกว่า 5,000 คน แต่ปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายที่นำโดยสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้ จำกัดบทบาทของ ISIS ในวงการก่อการร้ายโลกได้ดีพอสมควร สวนทางกับการเคลื่อนไหวของ IS-K และกลุ่ม IS ในภูมิภาค Sub-Sahara หรือพื้นที่ตอนใต้ทะเลทรายซาฮาราในแอฟริกา
อ่านข่าว : ISIS-K เป็นใคร ทำไมต้องโจมตี Crocus City Hall
สถาบันวอชิงตันเพื่อนโยบายตะวันออกใกล้ ชี้ว่า นับตั้งแต่เดือน มี.ค.2023 กลุ่ม IS ในแอฟริกาตะวันตก หรือ ISWAP อ้างว่าอยู่เบื้องหลังเหตุโจมตีมากกว่า 400 ครั้ง ตามมาด้วย ISIS ในซีเรีย อิรัก และ IS ในแอฟริกากลาง หรือ ISCAP ขณะที่การปราบปรามอย่างหนักของรัฐบาลตอลีบานในอัฟกานิสถาน ทำให้ IS-K มีโอกาสก่อเหตุโจมตีเพียง 66 ครั้งในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา แต่การโจมตีดังกล่าวสร้างความเสียหายมากที่สุดในบรรดาเครือข่าย IS ทั่วโลก โดยมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากการโจมตีของ IS-K เฉลี่ยครั้งละ 14 คน
หากมองภาพรวมการก่อการร้ายทั่วโลกและไม่ได้จำกัดอยู่แค่การโจมตีของกลุ่ม IS จะพบว่า เหตุบุกโจมตีอิสราเอลของฮามาส เมื่อวันที่ 7 ต.ค. คือเหตุก่อการร้ายครั้งใหญ่ที่สุดของปี 2023 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,200 คน และถือเป็นการก่อการร้ายครั้งใหญ่ที่สุดของโลก นับตั้งแต่เหตุโจมตีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 11 ก.ย.2001
แต่อิสราเอลไม่ใช่ประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการก่อการร้ายมากที่สุดในโลกเมื่อปี 2023 เพราะประเทศที่มีคะแนนดัชนีก่อการร้ายสูงที่สุดในปี 2023 คือ บูร์กินา ฟาโซ โดยมีผู้เสียชีวิตใกล้แตะ 2,000 คน จากเหตุโจมตีตลอดทั้งปี จำนวน 258 ครั้ง หรือคิดเป็นเกือบ 1 ใน 4 ของยอดผู้เสียชีวิตจากการก่อการร้ายทั่วโลกเมื่อปี 2023
สถานการณ์ในบูร์กินา ฟาโซ ย่ำแย่ลงตั้งแต่ปี 2014 และภัยก่อการร้ายยังเพิ่มสูงขึ้นในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งมาลีและไนเจอร์ ขณะที่สถานการณ์ในอัฟกานิสถานและอิรักพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอิรัก ซึ่งในปี 2023 ไม่ติดโผ 10 อันดับแรกของโลกเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เริ่มมีการจัดทำดัชนีชุดนี้ในปี 2012
เมื่อปี 2023 เกิดเหตุก่อการร้าย 3,350 ครั้ง ซึ่งในจำนวนนี้อยู่ในปากีสถานประเทศเดียวมากถึง 490 ครั้ง ขณะที่มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 8,300 คนใน 41 ประเทศทั่วโลก โดยจุดที่น่าสังเกตคือ แม้การก่อเหตุจะลดลง แต่ตัวเลขผู้เสียชีวิตกลับเพิ่มสูงขึ้นถึง 22% ซึ่งตีความได้ว่าการก่อการร้ายเกิดในลักษณะที่กระจุกตัวมากขึ้นและรุนแรงมากขึ้นด้วย โดยในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา จำนวนกลุ่มก่อการร้ายทั่วโลกลดลงจาก 141 กลุ่ม เหลือ 66 กลุ่ม ซึ่งกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญนอกจาก IS ก็ยังมีเครือข่ายกลุ่มอัลกออิดะห์และฮามาส
เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว กลุ่ม IS เคยสร้างความหวาดกลัวไปทั่วยุโรป หลังจากก่อเหตุโจมตีหลายครั้งในหลายประเทศ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกที่ความสูญเสียในระดับที่เกิดขึ้นกับรัสเซีย จะจุดกระแสความกังวลไปทั่วโลกว่า ยุคของการก่อการร้ายอาจกลับมาเยือนอีกครั้ง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
"ฝรั่งเศส" ยกระดับเตือนภัยก่อการร้ายขั้นสูงสุด