(15 มี.ค.67) น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา โฆษกกระทรวงสาธารณสุขฝ่ายการเมือง กล่าวถึงกรณีที่มีการร้องเรียนเรื่องการรับบริการที่คลินิกอบอุ่น ส่งตัวผู้ป่วยนอกไปรักษาที่โรงพยาบาล แต่ถูกโรงพยาบาลปฏิเสธนั้น ตนได้ตรวจสอบกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพ (สปสช.) พบว่า
สาเหตุเกิดจากช่วงรอยต่อของการปรับรูปแบบบริการและการจ่ายเงินเป็นแบบ “จ่ายล่วงหน้าให้เงินก้อนแบบเหมารายหัว” มีผลเมื่อวันที่ 1 มี.ค.2567 ที่ผ่านมา จึงเกิดความสับสนระหว่างคลินิกกับโรงพยาบาล ซึ่งล่าสุด สปสช.ได้แก้ไขปัญหาในเบื้องต้นภายใต้หลักการ “ผู้ป่วยโรคซับซ้อนที่เกินศักยภาพคลินิก ต้องได้รับการรักษาที่โรงพยาบาล ผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ดูแลโดยคลินิกได้ ต้องได้รับการดูแลที่คลินิก” พร้อมออก 6 เกณฑ์ในการดูแลรักษาผู้ป่วยบัตรทองในเขต กทม.ดังนี้
อ่านข่าว : สปสช. เร่งแก้ผลกระทบผู้ป่วย "OP New Model 5" พื้นที่ กทม.
1.ผู้ป่วยมีบัตรนัดโรงพยาบาล แต่ไม่มีใบส่งตัวของคลินิกต้นสังกัด : สปสช.ขอให้โรงพยาบาลให้บริการประชาชน (โรงพยาบาลเบิกค่ารักษาจากกองทุนเจ็บป่วยฉุกเฉิน และกองทุนอื่น )
2.ผู้ป่วยมีบัตรนัดของโรงพยาบาล แต่ได้ใบส่งตัวจากหน่วยบริการอื่น : ให้โรงพยาบาลรับรักษา (โรงพยาบาลเบิกค่ารักษาจากกองทุนเจ็บป่วยฉุกเฉิน และกองทุนอื่นๆ
3.ผู้ป่วยไม่มีบัตรนัด ถ้าเจ็บป่วยฉุกเฉิน : โรงพยาบาลต้องให้บริการโดยเร็ว ไม่ต้องขอใบส่งตัว (ให้โรงพยาบาลเบิกค่ารักษาจากกองทุนเจ็บป่วยฉุกเฉิน)
4.ผู้ป่วยที่ไม่ใช่อุบัติเหตุฉุกเฉิน และโรงพยาบาลประเมินว่าไม่ควรรอ : ให้โรงพยาบาลบริการไปก่อน (โรงพยาบาลเบิกค่ารักษาจากกองทุนเจ็บป่วยฉุกเฉินและอื่นๆ )
5.ผู้ป่วยมีใบส่งตัวจากคลินิก สามารถส่งต่อหน่วยบริการอื่นได้ (ให้เบิกค่ารักษาพยาบาลตามระบบ FS จากคลินิกอบอุ่นหรือกองทุนที่เกี่ยวข้อง)
6.กรณีผู้ป่วยเกินศักยภาพของโรงพยาบาลรับส่งต่อแห่งที่ 1 : ให้ส่งตัวผู้ป่วยไปรักษาต่อยังโรงพยาบาลแห่งที่ 2 ที่มีศักยภาพได้ โดยไม่ต้องกลับไปรับใบส่งตัวที่คลินิกต้นสังกัด (ให้แจ้งที่คลินิกต้นสังกัดและเบิกค่ารักษาจากกองทุน OP Refer หลังจากนั้น) หากโรงพยาบาลแห่งที่ 2 เห็นว่ามีความจำเป็นต้องรักษาต่อเนื่อง : ให้ส่งประวัติการรักษากลับไปยังคลินิกต้นสังกัด พิจารณาส่งตัวมายังคลินิกที่ 2 โดยขอให้ออกหนังสือส่งตัวอย่างน้อย 90 วัน
อ่านข่าว : แพทย์เตือน "ไรโนไวรัส" ระบาด เชื้อรุนแรงเสี่ยง "ปอดอักเสบ" ได้
ทั้งนี้ สปสช.กทม ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่องและขอความร่วมมือศูนย์บริการให้รักษาประชาชนช่วงเปลี่ยนผ่าน เพื่อไม่ให้กระทบประชาชน หากมีข้อสงสัย ติดต่อที่หมายเลข 1330โดย สปสช.ได้เพิ่มเจ้าหน้าที่สายด่วน 100 คนเพื่อความรวดเร็วด้วย
น.ส.ตรีชฎา ยืนยันว่า รัฐบาลไม่ได้ผลักภาระค่าใช้จ่ายให้หน่วยบริการแต่อย่างใด เป็นการใช้ระบบเดิม คลีนิกและร้านยาไม่ต้องเก็บเงินกับประชาชน แต่ให้เรียกเก็บไปที่ สปสช. เมื่อส่งข้อมูลครบถ้วน ทาง สปสช.จะจ่ายคืนให้ร้านยาและคลีนิกภายใน 3 วัน
ทั้งนี้ วงเงินงบประมาณสำหรับดูแลผู้ป่วยนอกถูกกำหนดมาตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ ซึ่งเป็นไปตามระบบมาตั้งแต่ปี 2564 โดยปี 2564 และ 2565 ที่ผ่านมาไม่มีปัญหาเรื่องงบประมาณและยังมีงบประมาณคงเหลือจ่ายเพิ่มให้กับคลินิก แต่ปี 2566 มีการส่งตัวผู้ป่วยไปรักษาที่โรงพยาบาลมากขึ้น เพียงพอ และปัจจุบันยังไม่มีคลินิกใดยื่นเรื่องขอบอกเลิกสัญญากับทาง สปสช. ในทางตรงกันข้าม มีคลินิกและโรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งติดต่อเข้ามาเป็นหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และ สปสช.อยู่ในระหว่างเจรจาเพื่อให้บริการประชาชนในพื้นที่ที่หนาแน่น
ส่วนที่มีการกล่าวว่า รัฐไม่แนะนำดีลเลอร์ยาราคาถูกให้ร้านยาได้ราคากลางนั้น เป็นคำกล่าวหาที่ไม่ถูกต้อง สปสช. ดำเนินงานร่วมกับสภาเภสัชกรรม ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ เป็นองค์กรวิชาชีพตามกฎหมาย ได้ช่วยเจรจากับบริษัทยา และทำข้อเสนอเพื่อให้ได้ยาในราคาที่ยุติธรรม ไม่เกินราคากลางและระมัดระวังไม่ให้เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับดีลเลอร์ยารายใดรายหนึ่ง รวมทั้งตั้งอยู่บนพื้นฐานความเป็นธรรมและความสมัครใจของร้านยาและคลินิกด้วย ขณะนี้มีร้านยาเข้าร่วม 2,000 แห่ง คลินิกอบอุ่นในกทม. 300 แห่ง คลินิกที่เข้าร่วม 30 บาทรักษาทุกที่ 12 จังหวัด รวม 50 แห่ง
อ่านข่าวอื่นๆ :
ปวดท้องบ่อย อย่านิ่งนอนใจ สัญญาณเตือน "มะเร็งกระเพาะอาหาร"
บอร์ด สปสช.อนุมัติผู้ป่วยบัตรทองรักษา "มะเร็งด้วยอนุภาคโปรตอน"