วันนี้(17 ม.ค.2567) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณี 2 คนไทย เจ้าของฉายา “เมธี เชียงราย” และ ”ยักษ์ เชียงแสน”หรือ “ยักษ์ คิงส์โรมัน” ซึ่งเป็นขาใหญ่ในพื้นที่ชายแดนภาคเหนือ เข้าไปมีส่วนให้ความช่วยเหลือกลุ่มทุนจีนเทาว่า จากการตรวจสอบข้อมูลด้านการข่าว ยังพบ มีบุคคลที่เกี่ยวข้องในขบวนการเพิ่มเติม คือ นาย อ. ภูมิลำเนา อยู่บ้านเทอดไทย อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ซึ่งเป็นผู้กว้างขวางอีกคนหนึ่ง และมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับ “ยักษ์ เชียงแสน” นายทหารชั้นประทวน ยศ “จ.ส.อ.” ซึ่งถูกส่งไปทำงานลับในพื้นที่ชายแดนภาคเหนือ ตั้งแต่ปี 2558-2559
โดยนาย อ. เคยถูกเจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองเชียงแสน จับกุม เมื่อวันที่ 13 พ.ย.2566 ข้อหา ซ่อนเร้น หรือ ช่วยด้วยประการใด ๆเพื่อให้คนต่างด้าวซึ่งรู้ว่าเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืน แต่นาย อ. ได้รับความช่วยเหลือจาก “ยักษ์ เชียงแสน” จนหลุดคดีออกมา
รายงานข่าว ระบุว่า เมธี เชียงราย, ยักษ์ เชียงแสน และนาย อ. มีพฤติการณ์ให้ความช่วยเหลือนักธุรกิจจีนเทา ที่หลบหนีจากเมืองเล่าก์ก่าย ในเขตปกครองตนเองโกกั้ง หลังเมียนมาร่วมกับทางการจีนเปิดปฎิบัติการกวาดล้างกลุ่มทุนจีนเทาที่เข้าไปทำธุรกิจบ่อนกาสิโน พนันออนไลน์ คอลเซ็นเตอร์ และยาเสพติด นับตั้งแต่นายหวัง เสี่ยวหง รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ เข้าพบพล.อ.อาวุโส มินอ่อง หล่าย นายกรัฐมนตรีเมียนมา เมื่อวันที่ 31 ต.ค.2566
โดยขบวนการดังกล่าวมี “ยักษ์ เชียงแสน” เป็นตัวหลัก ทำหน้าที่ประสานและเคลียร์เส้นทางให้นำกลุ่มทุนจีนเทาระดับตัวการใหญ่ ซึ่งหลบหนีออกมาจาก เมืองเล่าก์ก่าย และเมืองอื่น ๆ ตามแนวชายแดนรัฐฉาน-จีน รวมถึงเมืองท่าขี้เหล็กในสามเหลี่ยมทองคำเมืองสาด ชายแดนรัฐฉาน ด้าน จ.เชียงใหม่ และ จ.เมียวดี เมืองท่าขี้เหล็ก ด้านชายแดนรัฐกะเหรี่ยง ด้าน อ.แม่สอด จ.ตาก โดยจะมีการเรียกเก็บค่าหัวคิวรายละ 100,000 หยวน หรือ เงินไทยประมาณ 500,000 บาท เพื่อแลกกับความปลอดภัย
อ่านข่าว : จ่อฟัน 2 ขาใหญ่ “เมธี เชียงราย”-“ยักษ์ เชียงแสน” เรียกหัวคิวจีนเทา
เนื่องจากขณะนั้น มีการเปิดปฎิบัติการกวาดล้างอย่างหนัก โดยทางการจีนออกคำสั่งให้ชาวจีนที่อาศัยอยู่ในเมืองโกกั้ง เดินทางกลับมารายงานตัวในประเทศภายใน 2566 ไม่เช่นนั้น จะมีการยึดบัญชีธนาคาร ตัดซิมโทรศัพท์มือถือ และยกเลิกทะเบียนบ้าน จึงทำให้กลุ่มทุนจีนต้องหนีออกมา
ขณะที่ “ยักษ์ เชียงแสน” ที่อาจอาศัยอิทธิพล ความกว้างขวางและความไว้วางใจ จากเจ้าของอาณาจักรคิงส์โรมัน นายจ้าวเหว่ย ประธานเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ในฐานะที่ถูกเรียกใช้บ่อยครั้งและกลายเป็นลูกน้องคนสนิทในเวลาต่อมา ไปใช้หาผลประโยชน์ร่วมกับพรรคพวก
และยังพบข้อมูลอีกว่า ยักษ์ เชียงแสน เคยถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เรียกมาสอบปากคำเนื่องจากพบพฤติกรรมเข้าไปมีส่วนพัวพันกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีธุรกิจรถเช่า โดยมี “เมธี เชียงราย” คอยช่วยทำหน้าที่เป็นล่ามในกรณีที่มีชาวจีนว่าจ้าง ซึ่ง เมธี, ยักษ์ และ อ. บ้านเทอดไทย รวมทั้ง เฮีย ฮ.ที่อยู่ใน จ.ท่าขี้เหล็ก เมียนมา ถือเป็นขบวนการใหญ่ เนื่องจากมีนายตำรวจใหญ่ที่เรียกกันว่า รอง ต.เป็นผู้ดูแล และเคลียร์กับผู้ใหญ่ให้ในกรณีที่เกิดปัญหา
รายงานข่าวระบุว่า ผลการกวาดล้างทุนจีนเทา และกลุ่มอาชญากรรมที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดนรัฐฉาน จีน เกิดขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่กลางปีจนถึงปลายปี 2566 กระทรวงความมั่นคงสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ออกหมายจับบุคคล 10 คน ผู้ต้องสงสัยในคดีอาญาอาชญากรรมฉ้อโกงเครือข่ายโทรคมนาคม หรือหลอกลวงออนไลน์ ในเขตโกกั้งในเมียนมา ตอนเหนือของรัฐฉาน เช่น
- นายไป่ ซั่วเฉิง อดีตผู้นำภูมิภาคและอดีตสมาชิกรัฐสภาจากพรรค Union Solidarity and Development Party หรือ USDP อดีตประธานเขตปกครองพิเศษโกกั้ง
- นาย ไป๋ หยิงชาง ผู้บัญชาการกองกำลังติดอาวุธโกกัง วัย 31 ปี (ลูกชายนายไป่ซั่วเฉิง)
- นายหลิว เจิ้งเซียง สมาชิกเขตปกครองพิเศษโกกั้ง
- นางเว่ยหรง หรือ เฉิน หรง
- นายเว่ย ฮัวเหริน ประธานคณะกรรมการกำกับดูแลค่ายพิทักษ์ชายแดน
- นายซู เลาฟา หรือ ซูฟาฉี หัวหน้าเมืองห่าวซีซู่ อำเภอซีซาน เขตโกกั้ง รัฐฉาน เมียนมา
รายงานข่าวแจ้งว่า ขณะนี้ ยังไม่มีหน่วยงานใดพบเห็นบุคคลดังกล่าวว่า หลบหนีไปอยู่ที่ใด โดยมีประกาศตามหมายจับของหน่วยงานความมั่นคงสาธารณะ ประเทศจีน มีการตั้งรางวัลนำจับ 100,000 - 500,000 หยวน หรือคิดเป็นเงินไทย 500,000 - 2,500,000 บาท ข้อมูลด้านการข่าวระบุว่า กลุ่มผู้ที่หลบหนีบางส่วน อาจซุกซ่อนตัวอยู่ในเขตเมียวดี เขตตรงข้าม อ.แม่สอด จ.ตาก
ทั้งนี้ชายแดนจีน - รัฐฉาน โดยเฉพาะเมืองเล่าก์กาย เขตปกครองของโกกั้ง เป็นพื้นที่ที่มีจีนเทามาพักอาศัย ทำธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร ร้านคาราโอเกะ และบ่อนการพนัน ในช่วงเกิดปัญหากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ถูกใช้เป็นพื้นที่ทำการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์
ต่อมาในปี 2565 หลังจากที่สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ทางการจีนมีนโยบายในการกวาดล้างจีนเทาจึงมีการขอความร่วมมือจากทุกประเทศ เมียนมา ไทย ลาว และกัมพูชา ทำข้อตกลงร่วมกันเพื่อปราบปรามอาชญากรรมดังกล่าวให้หมดไป
อ่านข่าวอื่น ๆ
ตำรวจ ดส.จับชายวัย 21 เป็นล่ามให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์
เปิดศึกเดือด 3 พรรค เผือกร้อนการเมืองเบื้องหลัง “หมูเถื่อน”
อธิบดีกรมปศุสัตว์ ปัดรู้จัก "เฮียเก้า" เป็นการส่วนตัว พร้อมให้ข้อมูลดีเอสไอ "คดีหมูเถื่อน"