วันนี้ (25 ต.ค.2566) นายกีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่าในงาน Thailand CEO ECONMASS Awards 2023 “FAST Forward>>Better Thailand” ว่า ส่วนในช่วงที่เหลือของปีนี้ กระทรวงพาณิชย์จะเร่งผลักดันและขับเคลื่อนเต็มที่เพื่อให้ส่งออกติดลบน้อยที่สุด ย้ำกับภาคเอกชนต้องจับมือเดินไปด้วยกันพยายามเต็มที่
นายกีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์
แต่กังวลปัจจัยควบคุมไม่ได้ คือ สงครามอิสราเอล ขณะที่การส่งออกในปี67 กระทรวงพาณิชย์จะมีการประชุมหารือกับทูตพาณิชย์ในวันที่ 3 พ.ย.เพื่อติดตามและประเมินสถานการณ์ก่อนจะสรุปในวันที่ 10 พ.ย.66 เพื่อตั้งเป้าส่งออกของปีหน้าในช่วงกลางเดือนธ.ค.นี้
นายกีรติ กล่าวอีกว่า ทูตพาณิชย์ที่ประจำอยู่ทั่วโลกต้องทำงานหนักในการผลักดันการส่งออก ซึ่งในเดือนพ.ย.นี้จะกระทรวงเชิญทูตพาณิชย์ทั่วโลกกลับมาประชุมหารือถึงแผนสนับสนุนการค้าของไทย รวมถึงผลักดันการทำFTA กับประเทศอื่นๆเพิ่มเติม เพราะถ้าช้าไทยจะเสียโอกาส
FTA ไทยมีผลผลบังคับใช้ 14ฉบับ 18ประเทศ อยู่ระหว่างเจรจา 12 ฉบับ และยังมีแผนเจรจาเพิ่มเติมด้วยเพื่อให้ไทยสามารถแข่งกันกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีFTAได้
ด้านนายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า อุตสาหกรรมไทยจะเดินแบบเดิมไม่ได้ ต้องเป็นเศรษฐกิจก้าวหน้ายั่งยืน ในอนาคตการทำธุรกิจอุตสาหกรรมต้องเป็นการค้าและบริการมากขึ้น รวมถึงอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ที่ไทยมีจุดแข็ง เช่น อาหารไทย
นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมดำเนินการลดราคาค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดกับสายสีแดงและสีม่วง ซึ่งมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นในสายสีม่วงจากกว่า 10,000 คนเป็น 74,000 คนต่อสัปดาห์ และสายสีแดงกว่า 20,000 คนเป็น 35,000 หมื่นคนต่อสัปดาห์
ส่วนรถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสีน้ำเงิน และสายสีเหลืองจะต้องมาหารือกันต่อ และอาจหารือการดำเนินการร่วมกับตั๋วใบเดียวด้วย เป็นเรื่องควิกวินต้องให้เสร็จโดยเร็ว
นายสรพงศ์ กล่าวอีกว่า ส่วนระบบคมนาคมต่าง ๆ อย่างรถเมล์ไฟฟ้า รถเมล์อีวี เร่งการใช้เข้ามาในระบบสาธารณะและได้ให้ใบอนุญาตกว่า 2,000 คัน โดยอีกใน 3 ปีข้างหน้าจะมีมากถึง 6,000 คันรอบกรุงเทพ และจะต่อยอดไปรถแท็กซี่ไฟฟ้าด้วย รวมถึงอีก 2-3 ปีข้างหน้า จะมีรถไฟฟ้ารวมทั้งหมด 375 กิโลเมตร จากแผน 14 เส้นทาง 554 กิโลเมตร
ส่วนรถไฟ จะขยายโครงข่ายรถไฟฟ้าจากทางเดี่ยวเป็นรถไฟทางคู่ และต้องเร่งดำเนินการต่อเชื่อมรถไฟสายกรุงเทพไปนครราชสีมา เป็นโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน
นอกจากนี้จะพยายามเร่งแก้ไขเส้นทางถนนที่มีปัญหาและเร่งแก้ปัญหาคอขวดในพื้นที่ต่างๆ รวมถึงอยู่ระหว่างก่อสร้างโครงการทางหลวงพิเศษรวมถึงโครงการแลนด์บริดจ์ เป็นการทำยุทธศาสตร์พลิกประเทศ
นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ อีอีซี กล่าวว่าโจทย์ของ EEC คือ ดูแล S-curve และ new S-curve โดย 5 คลัสเตอร์ที่เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ คือ 1.สุขภาพ 2.อิเล็กทรอนิกส์ ดาต้าเซนเตอร์ เซมิคอนดักเตอร์ 3.อีวี 4. BCG และ5.อุตสาหกรรมบริการ
ใน 3 ปีข้างหน้าไทยพยายามจับเทรนด์อุตสาหกรรมและเลือกดูซัพลายเชนมากกว่าอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง
ขณะที่ นายนิธี สีแพร รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวทำรายได้เข้าประเทศ 1 ใน 4 ของจีดีพีประเทศ โดยเชิญชวนคนต่างชาติเข้าเที่ยวไทย และให้คนไทยเที่ยวไทย ซึ่งการที่รัฐบาลยกเว้นวีซ่าจีน ทำให้นักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยมากขึ้น แม้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นแต่นักท่องเที่ยวจีนมีความมั่นใจอยู่ ซึ่งหลังจากที่รัฐบาลฟรีวีซ่าครบ 1 เดือน พบว่ามีนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้น 5-10%
ก่อนโควิดไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยว 3 ล้านล้านบาท จำนวนนักท่องเที่ยว 40 ล้านคน ส่วนปีนี้จะเพิ่มถึง 25 ล้านคน โดยจะผลักดันให้คนเที่ยวเมืองรองมากขึ้น
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธาน กกร. กล่าวว่า เชื่อว่าเศรษฐกิจไทย(จีดีพี) จะสามารถเติบโตได้ 5% ตามที่รัฐบาลตั้งเป้า มองว่ามีความเป็นไปได้เห็นจากการทำงานรัฐบาลชุดนี้
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
จากเดินทางไปต่างประเทศร่วมกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่เป็นเซลส์แมน มีความมุ่งมั่น และได้พาภาคเอกชนไปพบซีอีโอบริษัทยักษ์ใหญ่ พานักธุรกิจไปทำบิซิเนสแมชชิ่ง
ทั้งนี้ ในส่วนของหอการค้าพยายามผลักดันเจรจาเอฟทีเอของอียู รวมถึงยูเออี พยายามสรุปให้ได้ รัฐบาลต้องกล้าตัดสินใจและเดินหน้าให้ได้เพื่อให้การส่งออกเติบโตดี และการลงทุนโดยตรง(เอฟดีไอ) เป็นสิ่งสำคัญ รวมถึงต้องเร่งแก้ไขกฎระเบียบเอื้อให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนย้ายฐานการผลิตเข้ามาในไทย พร้อมกับอยากให้รัฐบาลส่งเสริมเอกชนไปลงทุนต่างประเทศด้วย