วันนี้ (23 มี.ค.2566) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ชี้แจงกลับกรณีที่นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน กล่าวหาว่าเรียกรับเงินจาก "สารวัตรซัว" เจ้าของเว็บพนันออนไลน์ เพื่อขอให้หยุดเปิดเผยข้อมูล โดยก่อนชี้แจงนายชูวิทย์ได้สาบานตนว่าสิ่งที่พูดเป็นความจริง
นายชูวิทย์ ยอมรับว่า รับเงินจำนวน 6,000,000 บาทจริง โดยมีตำรวจยศพลตำรวจตรี และพลตำรวจโท นำเงินมาให้ที่โรงแรมเดวิส เมื่อวันที่ 3 ก.พ. ขอให้หยุดวิจารณ์สารวัตรซัว และการเปิดสถานบริการแห่งหนึ่ง แต่ตัวเองพยายามปฎิเสธ ไม่รับเงิน แต่ถูกยัดเยียด จึงนำเงินไปบริจาคให้โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ เมื่อวันที่ 14 ก.พ. และโรงพยาบาลศิริราช ในวันที่ 15 มี.ค. บริจาคที่ละ 3,000,000 บาท
พร้อมระบุว่า การออกมาเปิดเผยของนายษิทรา มีข้อมูลที่จริงและไม่จริงบางส่วน โดยเฉพาะจำนวนที่อ้างว่าได้รับเงินจากสารวัตรซัวหลายสิบล้านบาท รวมทั้งเงิน 50 ล้าน ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัล จึงท้าให้ตรวจสอบ โดยยืนยันว่าตำรวจทั้ง 2 นายนำเงินมาให้ 6,000,000 บาทเท่านั้น
นายชูวิทย์ เชื่อว่า ข้อมูลที่นายษิทรานำมาเปิดเผย รับข้อมูลมาจากนายจิราวัฒน์ หรือ เปา ที่ตัวเองส่งเสียเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็ก ๆ เนื่องจากพ่อแม่แยกทางกัน โดยให้ทำหน้าที่เก็บค่าเช่าที่พัก ก่อนจะเลิกทำและไปทำงานกับสารวัตรซัว เพราะทั้ง 2 คนเป็นเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกัน นอกจากนี้นายเปายังถูกใช้ชื่อให้เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของอาบอบนวดแห่งหนึ่งด้วย
ส่วนเรื่องที่นายษิทรากล่าวหานั้น นายชูวิทย์ ยอมรับว่า ตัวเองเคยพบกับนายแทนไท ซึ่งมีอดีตนายตำรวจยศพลตำรวจเอก พามาหาที่โรงแรม เพื่อปรึกษาว่าจะฟ้องร้องนายสนธิ หรือไม่ หลังเข้าไปพบนายสนธิแล้วถูกต่อว่า เพราะไม่เชื่อว่านายแทนไทจะทำธุรกิจถูกกฎหมาย จึงแนะนำว่าอย่าฟ้องเพียงเท่านั้น แต่ไม่ทราบเหตุผลว่าทำไมต้องมาปรึกษาตัวเอง และประเด็นเรื่องที่มีเงินดิจิทัล 50 ล้านบาทโอนเข้าบัญชี ซึ่งนายษิทรา อ้างว่า เงินโอนเข้าบัญชีลูกชายของตัวเอง ยืนยันว่า ลูกชายไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินและไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับพนัน
นายชูวิทย์ ยังถามถึงนายษิทราว่ารับงานมาจากใคร แต่พร้อมตอบคำถามและให้ตรวจสอบทุกประเด็น ส่วนนายเปา ขณะนี้ไม่ได้ติดต่อและตัดขาดความเป็นหลานแล้ว เพราะถือว่าเนรคุณ ที่ผ่านมาตั้งแต่ออกมาแฉกลุ่มธุรกิจผิดกฎหมาย มีบุคคลพยายามเข้ามาพบหรือหารือมาโดยตลอด และหากนายษิทราจะมาร่วมเปิดโปงปัญหาเกี่ยกับรถไฟฟัา ก็พร้อมทำงานร่วมกัน เพราะเป็นประโยชน์ต่อสังคม
ส่วนกรณีเรื่องที่ดินสุขุมวิทซอย 10 ยอมรับว่า ตัวเองเป็นผู้สั่งให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ดิน แต่ยืนยันไม่ได้โกงและเสียภาษีปีละ 2,000,000 บาท โดยนายษิททราให้ข้อมูลคลาดเคลื่อน เนื่องจากศาลชั้นต้นยกฟ้องไม่มีความผิด และศาลอุทธรณ์สั่งจำคุก 5 ปี พร้อมยืนยันว่าไม่เคยหาผลประโยชน์จากที่ดิน หลังพ้นโทษถูกจองจำเป็นเวลา 10 เดือนและไม่ได้ผลประโยชน์จากที่ดินมานานกว่า 12 ปี
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง