ไม่มีแฟนการเมืองพันธุ์แท้คนใด ไม่รู้จัก “พี่ศรี” นายศรีสุวรรณ จรรยา นักร้องเรียนชื่อดัง เพราะแทบทุกครั้งที่เกิดเรื่องราวชวนสงสัย ไม่กระจ่าง หรืออาจมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง “พี่ศรี” จะทำหน้าที่นักร้อง (เรียน) เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการหรือสอบสวนให้เกิดความชัดเจน กระทั่งการเอาผิดทางอาญาหรือวินัย
ล่าสุด ไปยื่นเรื่องร้องเรียนที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ให้พิจารณาดำเนินการเข้าข่ายความผิดอาญาต่อแผ่นดินหรือไม่ กรณีทอล์กโชว์ “เดี่ยวไมโครโฟน 13” โดย อุดม แต้พานิช หรือ โน้ส-อุดม ศิลปินนักแสดงและทอล์กโชว์ชื่อดัง ที่มีเนื้อหาพาดพิงไปถึงผู้นำรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
หลังจาก “เดี่ยวไมโครโฟน 13” กลายเป็นประเด็นร้อนในโลกโซเชียล มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งเห็นด้วย และสนับสนุนการวิพากษ์รัฐบาลที่พึงทำได้ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 34 แต่ก็มีอีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่า เป็นการวิจารณ์ที่ล้ำเส้น และก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐบาล และ พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้เกิดความเข้าใจผิด
กระทั่ง พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกฯ ต้องออกโรงปราม ในฐานะแฟนคลับของอุดมมานาน ยืนยันเป็นเพียงแค่คำพูดเพื่อความบันเทิง ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่ “พี่ศรี” ยังคงเดินหน้าเอาผิดทางกฎหมายต่อไป
โดยไปยื่นเรื่องที่ บก.ปอท. แต่ระหว่างให้สัมภาษณ์กับสื่อ หลังการยื่นเรื่อง กลับโดนหนุ่มใหญ่วัย 60 กว่า บุกเข้าประชิดตัว ต่อยเข้าที่หน้าอย่างจัง โดยไม่ทันระวังตัว แถมยังตามซ้ำประเคนแข้งและหมัดเข้าใส่อีกเป็นชุด ก่อนที่สื่อจะเข้าแยกออกจากกัน
ด่วน! บุกทำร้าย “ศรีสุวรรณ” ขณะร้องเรียนตรวจสอบ “โน้ส อุดม” เดี่ยว 13
เหตุผลจากปากของผู้ก่อเหตุ ซึ่งต่อมามีการขยายผลว่า เป็นมวลชนคนเสื้อแดงคนหนึ่งก็คือ ไม่พอใจที่ “พี่ศรี” ทำเกินเหตุ ยื่นร้องเรียนแทบทุกเรื่อง จนทนไม่ไหว ต้องมีการสั่งสอน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ด้านหนึ่งถือเป็นการก่อเหตุภายในกองบัญชาการตำรวจ ปอท. ซึ่งเป็นสถานที่ราชการ โดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ไม่เคารพต่อสถานที่ แต่ในอีกด้านหนึ่ง สะท้อนอารมณ์ความรู้สึกไม่พึงพอใจ ต่อพฤติการณ์การเป็นนักร้องเรียน ของนายศรีสุวรรณ
ซึ่งถูกมองว่า ส่วนใหญ่มักร้องเรียนกล่าวหา ฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐบาล จนถูกมองว่า เป็นหนึ่งในเครื่องมือของฝ่ายที่มีอำนาจ ใช้ตอบโต้ฝ่ายตรงข้าม ซึ่งปกติมีโอกาสและช่องทางน้อยกว่าอยู่แล้ว
ทั้งนี้ เชื่อว่า “พี่ศรี” เอง ก็น่าจะตัวรู้ดีว่า อาจจะโดนอีกฝ่ายตอบโต้เอาคืนสักวัน แต่คงไม่รู้ว่าจะเป็นที่ไหน และเมื่อไหร่ จึงทำให้ไม่สามารถระมัดระวังตัว หรือเตรียมรับมือกับการถูกลอบทำร้ายได้ตลอดเวลา
อีกทั้งสถานที่ที่ไปยื่นเรื่องร้องเรียน ส่วนใหญ่เป็นสถานที่ราชการ ซึ่งมีระบบการป้องกันที่พร้อมสรรพอยู่แล้ว
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อาจไม่รุนแรงใหญ่โตมากไปกว่าการแจ้งความดำเนินคดีกลับข้อหาทำร้ายร่างกาย แต่อาจส่งสัญญาณและมีผลไปถึงนักร้องเรียนคนอื่น ๆ พึงต้องตระหนักและระมัดระวังตัวมากขึ้น หากไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำรอยกับตัวเอง
เพราะโดยข้อเท็จจริง นี่ไม่ใช่เหตุการณ์แรก สำหรับการแก้แค้นเอาคืน หรือระบายความกดดันที่เก็บกดอยู่ในตัว เพราะก่อนหน้านี้ ทั้งระดับนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีพาณิชย์ ก็เคยโดนมาแล้ว ทั้งแบบเฉียดๆ และโดนเข้าเต็มเปา เพียงแต่ไม่ใช่กำปั้นหรือเท้าศอก แต่เป็นน้ำปลาร้า หรือของเสียอย่างอื่น
ยิ่งในสถานการณ์เลือกข้าง เลือกสี เลือกฝ่าย อย่างเด่นชัดไม่ปิดบัง อย่างในยุคสมัยปัจจุบัน ยิ่งต้องเสียวสันหลังวาบ
ประจักษ์ มะวงศ์สา เขียน