วันนี้ (22 ก.ย.2565) สถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน มีหลายความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นต่อเนื่องกัน ทั้งการเตรียมทำประชามติในดินแดนของยูเครนที่รัสเซียเข้ายึดครอง เพื่อผนวกเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย และล่าสุดตามมาด้วยการประกาศเรียกระดมกำลังพลสำรองของผู้นำรัสเซีย ที่ส่งแรงกระเพื่อมไปทั่วโลก
การเรียกระดมกำลังพลสำรองของรัสเซียครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้นำรัสเซีย ระบุว่า เพื่อปกป้องประชาชนและประเทศชาติ แต่อีกด้านหนึ่งชาวรัสเซียจำนวนไม่น้อยออกมาประท้วงต่อต้านความเคลื่อนไหวครั้งนี้ จนทำให้มีผู้ถูกจับกุมแล้วนับพันคน
การจับตัวประชาชนครั้งนี้เกิดขึ้นในกรุงมอสโก ซึ่งตำรวจกระจายกำลังเข้าปราบปรามผู้ชุมนุม หลังจากมีชาวรัสเซียจำนวนมากออกมาคัดค้านการประกาศระดมกำลังพลสำรองของวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย เพื่อทำสงครามต่อสู้กับยูเครน
ขณะที่ หลายจุดของกรุงมอสโกมีคนออกมารวมตัวประท้วงไม่น้อยเช่นกัน หลายคนตะโกนข้อความ ไม่เอาสงคราม หรือบางส่วนมีภาพการวิ่งไล่จับกุมผู้ประท้วงให้เห็น
สำนักงานอัยการกรุงมอสโก เตือนว่า การเข้าร่วมการประท้วงตามท้องถนนซึ่งมีการปลุกระดมทางอินเทอร์เน็ต อาจต้องระวางโทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปี และอาจถูกดำเนินคดีตามกฎหมายจากการเผยแพร่ข่าวปลอมเกี่ยวกับสงครามในยูเครน การปลุกระดมเยาวชนให้ร่วมการชุมนุม และการละเมิดกฎหมายเกี่ยวกับการทำให้กองทัพเสื่อมเสีย
กฎหมายการเผยแพร่ข่าวปลอมเกี่ยวกับสงครามในยูเครนเป็นปัจจัยหนึ่งที่การประท้วงต่อต้านสงครามในรัสเซียแผ่วไปตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา เฉพาะในมอสโก คาดว่าผู้ประท้วงถูกจับกุมมากกว่า 700 คน
นอกจากนี้ ยังไม่ใช่แค่ในเมืองหลวง แต่ที่ Yekaterinburg เมืองใหญ่อีกแห่งหนึ่ง มีประชาชนออกมารวมตัวเคลื่อนไหว และถูกเจ้าหน้าที่รวบตัวไปเช่นกัน ในเมืองนี้มีผู้ถูกจับกุมจากการประท้วงอย่างน้อย 40 คน
ส่วนกลุ่มสังเกตการณ์การประท้วงที่เคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชน ระบุว่า มีรายงานการประท้วงในอย่างน้อย 36 เมือง รวมตัวเลขคนที่ถูกจับเกิน 1,000 คน ซึ่งการประท้วงโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นสิ่งผิดกฎหมายในรัสเซีย ซึ่งมีกฎหมายปราบปรามการประท้วง อย่างเข้มงวด
"ปูติน" สั่งระดมกำลังพลสำรอง 3 แสนนาย
การประท้วงในรัสเซียมีขึ้นหลังจาก วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ลงนามในกฎหมายเพื่อเริ่มกระบวนการเรียกระดมกำลังพลสำรอง 300,000 นาย ทั่วประเทศทันทีแล้ว และประกาศว่า จะใช้ทุกวิถีทางเพื่อปกป้องประชาชนและดินแดนของรัสเซีย หากบูรณภาพดินแดนถูกคุกคาม รวมถึงการใช้อาวุธทำลายล้างสูงและนิวเคลียร์
การระดมกำลังพลสำรองนี้หมายความว่า พลเรือนที่เคยได้รับการฝึกทหารและมีทักษะพิเศษอันเป็นที่ต้องการจะถูกเรียกตัวไปรบ แต่ว่าไม่ใช่กำลังสำรองทั้งหมดที่รัสเซียมีจะถูกเรียกตัว แต่เป็นการเรียกแค่ส่วนหนึ่ง ประมาณ 300,000 คน
หากย้อนไปดูตอนเริ่มสงคราม ก.พ. ที่ผ่านมา รัสเซียส่งทหารบุกยูเครนประมาณ 190,000 นาย ไม่นับรวมนักรบฝ่ายหนุนรัสเซียในแถบดอนบาส ที่ต้องการประกาศเอกราชจากยูเครน และจากนั้นรัสเซียก็พยายามจัดหากำลังพลเพิ่ม ล่าสุดเดือน ส.ค. ปูตินลงนามคำสั่งขยายขนาดกองทัพครั้งแรกในรอบ 5 ปี ขยายเพิ่มจากประมาณ 900,000 นาย เป็นอีก 137,000 นาย รวมเป็น 1,150,000 นาย
ตามทฤษฎีแล้วหากสั่งระดมกำลังพลเต็มอัตรา รัสเซียอาจเรียกระดมกำลังได้ถึง 25 ล้านคน แต่ตัวเลือกนี้ยังไม่มีการหยิบยกขึ้นมาพิจารณา
ด้าน เซอร์เก ชอยกู รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมรัสเซีย ระบุว่า การระดมพลครั้งนี้จะนำไปเสริมแนวป้องกันบริเวณชายแดน ที่มีระยะทางกว่า 1,000 กิโลเมตร ขณะที่กระทรวงกลาโหมอังกฤษ มองว่า ความเคลื่อนไหวนี้อาจจะมีเจตนาลดการหนีทหาร ลดแรงกดดันต่อกำลังพลที่รบอยู่
นอกจากนี้ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมรัสเซีย ยังระบุว่า การระดมกำลังพลใหญ่ครั้งนี้จะเรียกกำลังสำรองอายุเกิน 60 ปีเข้าไปด้วย
และยังเปิดเผยจำนวนทหารเสียชีวิตเป็นครั้งแรกหลังจากทางการรัสเซีย เปิดเผยรายงานครั้งสุดท้ายเมื่อ 25 มี.ค. ว่าตลอด 6 เดือน ทหารรัสเซียเสียชีวิตในสมรภูมิยูเครน 5,937 นาย ต่ำกว่าการประมาณการ โดยกลาโหมอังกฤษ คาดการณ์ไว้เดือน มิ.ย. ว่ามีทหารเสียชีวิต 25,000 นาย ยูเครนอ้างว่าทหารรัสเซียเสียชีวิตกว่า 50,000 นาย ส่วนสหรัฐฯ ประเมินว่าตัวเลขอาจสูงประมาณ 70,000 - 80,000 คน
สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นชัดเจนหลังคำประกาศระดมพลของปูติน คือ การเดินทางออกนอกประเทศของชาวรัสเซีย สนามบินในอาร์เมเนียมีผู้โดยสารชาวรัสเซียที่พาลูกหลานวัยรุ่นเดินทางมา มีรายงานว่า หลายครอบครัวซื้อตั๋วเที่ยวเดียวบินออกจากรัสเซีย
นอกจากนี้ ราคาตั๋วเครื่องบินจากรัสเซียไปยังปลายทางยอดนิยมอย่างอิสตันบูลเริ่มเพิ่มสูงขึ้น หลังจากตั๋วขายหมดอย่างรวดเร็ว
สำนักข่าวเอพี รายงานว่า ตั๋วเที่ยวเดียว ชั้นประหยัด จากมอสโกไปอิสตันบูลหรือดูไบ ราคาพุ่งไปถึง 9,200 ยูโร หรือมากกว่า 330,000 บาท
การประกาศระดมพลของปูตินมีขึ้นเพียง 1 วัน หลังจากผู้นำกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในแคว้นลูฮันสค์ประกาศว่า จะจัดการลงประชามติผนวกดินแดนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียปลายสัปดาห์นี้ โดยการลงประชามติจะจัดในวันที่ 23-27 ก.ย.นี้ หลังจากรอคอยมานานถึง 8 ปี
ประชามติผนวกดินแดนเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียจะเกิดขึ้น ในโดเนทสค์ ลูฮันสค์ เคอร์ซอน และซาปอริซเซีย หลังจากรัสเซียประกาศรับรองให้พื้นที่ยึดครองของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในโดเนทสค์และลูฮันสค์เป็นรัฐเอกราช ก่อนที่จะเปิดฉากบุกยูเครน เมื่อวันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา
สำหรับดินแดนภายใต้การยึดครองของรัสเซียมีไม่ต่ำกว่า 90,000 ตารางกิโลเมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 15 ของดินแดนยูเครนทั้งหมด รัสเซียอาจใช้ผลการลงประชามติในครั้งนี้เป็นไพ่ในการต่อรองให้ชาติตะวันตกยุติการสนับสนุนอาวุธประสิทธิภาพสูงให้ยูเครน