ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

สบส.สอบ รพ.เอกชน ปมลูกเสียชีวิตหลังคลอด 2 ชั่วโมง

สังคม
26 ต.ค. 64
16:23
2,279
Logo Thai PBS
สบส.สอบ รพ.เอกชน ปมลูกเสียชีวิตหลังคลอด 2 ชั่วโมง
สบส.เร่งตรวจสอบเคสทารกเสียชีวิตหลังคลอดเพียง 2 ชั่วโมง เบื้องต้น รพ.เอกชนย่านพญาไท ระบุทารกมีอาการตัวซีด ฟังเสียงหัวใจไม่ได้ CPR แต่ไม่ตอบสนองการรักษา เตรียมส่งข้อมูลให้สภาวิชาชีพ

กรณีสามี-ภรรยา ร้องเรียนโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในเขตพญาไท ให้ชี้แจงสาเหตุการเสียชีวิตของลูกชายวัยแรกเกิดหลังคลอดเพียง 2 ชั่วโมง โดยผู้ร้องระบุว่าการชันสูตรศพพบว่า เด็กมีร่างกายและอวัยวะทุกส่วนสมบูรณ์ แต่มีอาการปอดทะลุหลายจุด จึงนำกลุ่มบิ๊กไบค์และขบวนรถมาเรียกร้องให้โรงพยาบาลดังกล่าวชี้แจง

วันนี้ (26 ต.ค.2564) นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ขอแสดงความเสียใจกับพ่อ-แม่ที่ต้องสูญเสียลูกชาย ซึ่งกรมฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อการสูญเสียในครั้งนี้ จึงสั่งการให้พนักงานเจ้าหน้าที่จากกองกฎหมาย เข้าตรวจสอบข้อเท็จจริง ณ โรงพยาบาลเอกชน ย่านพญาไท โดยในวันนี้พนักงานเจ้าหน้าที่ฯ ได้ลงพื้นที่รวบรวมพยานหลักฐาน และตรวจสอบเอกสารทางการแพทย์ เวชระเบียนของโรงพยาบาล

 

เบื้องต้นทางโรงพยาบาล ชี้แจงว่าเหตุเกิดเมื่อวันที่ 15 ก.ค.ที่ผ่านมา ทารกเพศชายที่คลอดออกมามีอาการตัวซีด ฟังเสียงหัวใจไม่ได้ แพทย์จึงใส่ท่อช่วยหายใจ พร้อมเคลื่อนย้ายไปที่แผนกห้องเด็กอ่อนและทำ CPR แต่เด็กไม่ตอบสนองต่อการรักษา และเสียชีวิตในเวลาต่อมา

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จะนำข้อมูลทั้งหมดเสนอต่อสภาวิชาชีพ ให้ตรวจสอบในส่วนการให้บริการ ว่า ขณะที่เกิดเหตุแพทย์และผู้เกี่ยวข้องของโรงพยาบาลฯ ดำเนินการอย่างถูกต้องตามมาตรฐานวิชาชีพหรือไม่ พร้อมเตรียมเชิญผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายมาให้ถ้อยคำกับคณะอนุกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียน เพื่อสืบสวนหาสาเหตุการเสียชีวิตของทารกและให้ความเป็นธรรมแก่ทั้งสองฝ่ายโดยเร็วที่สุด

นพ.ธเรศ กล่าวว่า สตรีมีครรภ์ถือเป็นกลุ่มเปราะบางที่มีสุขภาพ ร่างกายที่อ่อนแอกว่าบุคคลทั่วไป จึงมีความเสี่ยงด้านสุขภาพ ทั้งการเกิดภาวะโรคแทรกซ้อน อันตรายระหว่างการคลอด หรือสุ่มเสี่ยงที่จะติดโรคติดต่ออันตรายอย่าง COVID-19 กรมฯ เน้นย้ำให้ผู้ประกอบกิจการและผู้ดำเนินการสถานพยาบาลทุกแห่งกำชับกับบุคลากรของตนให้ดำเนินการกับสตรีมีครรภ์ทุกรายด้วยความระมัดระวัง ใส่ใจ ดูแล อย่างใกล้ชิด รวมถึงสื่อสารแนวทางการรักษาพยาบาลกับผู้ป่วยหรือญาติ ด้วยความโปร่งใสและชัดเจน

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง