วันนี้ (10 มิ.ย.2563) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ผลการศึกษาดังกล่าว บ่งชี้ว่าการใส่หน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ สามารถลดอัตราการแพร่เชื้อโควิด-19 ให้ลงมาอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ นอกจากนี้ การใช้มาตรการล็อกดาวน์และการเว้นระยะห่างทางสังคม ควบคู่ไปกับการใส่หน้ากากอนามัยยังช่วยป้องกันการแพร่ระบาดระลอกที่ 2 ด้วย
โดยการใส่หน้ากากอนามัยของประชากร ร้อยละ 50 หรือมากกว่านั้น จะช่วยทำให้อัตราส่วนการแพร่เชื้อต่ำกว่า 1 จนนำไปสู่การผ่อนคลายข้อจำกัดต่างๆ ทั้งนี้ วิธีการดังกล่าวถือเป็นแนวทางจัดการโรคระบาด เพื่อกลับมาเปิดภาคธุรกิจอีกครั้ง ในขณะที่วัคซีนป้องกันโควิด-19 กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนา
การศึกษาในครั้งนี้เป็นความร่วมมือของนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์กับมหาวิทยาลัยกรีนิชที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ Proceedings of the Royal Society A ขณะที่เมื่อวันศุกร์ที่ 5 มิ.ย.ที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ประชาชนใส่หน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ เพื่อลดอัตราการแพร่ระบาดของโควิด-19