วันนี้ ( 23 เม.ย.62) องค์คณะผู้พิพากษาคดีการปล่อยกู้ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใด เข้ามีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์ สำหรับตัวเองหรือผู้อื่น เนื่องด้วยกิจการนั้น ตามกฎหมายอาญา มาตรา 152 และฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีเห็นชอบให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำให้กับรัฐบาลเมียนมาวงเงิน 4,000 ล้านบาท ในโครงการพัฒนาระบบโทรคมนาคมของเมียนมา ซึ่งดอกเบี้ยต่ำกว่าราคาต้นทุนของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยเพื่อหวังประโยชน์ในธุรกิจดาวเทียม ที่สั่งซื้ออุปกรณ์จาก บริษัท ชินแซทเทอร์ไลท์ บริษัทในเครือชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ของตระกูลชินวัตร
คดีนี้เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2551 องค์คณะฯ มีคำสั่งประทับรับฟ้องแล้วนัดพิจารณาครั้งแรก เพื่อสอบคำให้การนายทักษิณ ในวันที่ 16 กันยายน ปี 2551 แต่ปรากฏว่าขณะนั้นนายทักษิณไม่มาศาล เนื่องจากหลบหนีไปต่างประเทศในคดีอื่นแล้ว องค์คณะฯ จึงออกมายจับให้ตามตัวมาดำเนินคดีมานับตั้งแต่นั้น
กระทั่งปี 2561 ป.ป.ช.ได้ยื่นคำร้องให้นำคดีดังกล่าว ขึ้นมาพิจารณาใหม่โดยไม่มีตัวจำเลย หลัง พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ออกมาบังคับใช้ ซึ่งวันที่ 4 กรกฎาคม ปี 2561 องค์คณะได้พิจารณาคดีใหม่ โดยนายทักษิณไม่แต่งตั้งผู้ใดรับมอบอำนาจ มาศาลแทน และองค์คณะฯ ได้ไต่สวนพยานของ ป.ป.ช.โจทก์ โดยไม่มีตัวจำเลยมาตลอด กระทั่งนัดฟังคำพิพากษาวันนี้ โดยมีคำพิพากษาว่า นายทักษิณ มีความผิดตามฟ้องมาตรา 152 ให้จำคุกเป็นเวลา 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา และให้ออกหมายจับจำเลยมาบังคับคดี ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ต่อไป