Thailand Web Stat
ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

เมืองไทย จุดหมายคนยาก ปลายทางผู้อพยพ ?


Insight

20 มี.ค. 68

พีรชัย พสุทันท์

Logo Thai PBS
แชร์

เมืองไทย จุดหมายคนยาก ปลายทางผู้อพยพ ?

https://www.thaipbs.or.th/now/content/2490

เมืองไทย จุดหมายคนยาก ปลายทางผู้อพยพ ?
บริการเสริมจาก Thai PBS AI


ปลายเดือน ก.พ. 68 ไทยได้ส่งตัวชาวอุยกูร์ (Uyghurs) 40 คนกลับจีนหลังจากที่พวกเขาถูกควบคุมตัวในไทยมา 11 ปี ทำให้กระแสการปกป้องสิทธิของ “ผู้ลี้ภัย” ปะทุขึ้นอีกครั้งในสังคมไทยและดังไกลถึงประชาคมโลก

แม้จะ (ตั้งใจ) เข้ามาอาศัยชั่วคราวก่อนจะหนีภัยไปประเทศอื่น ชาวอุยกูร์ก็ถือเป็นคนกลุ่มหนึ่งที่สะท้อนภาพลักษณ์ของไทยในฐานะ “จุดเปลี่ยนผ่าน (transit)” และตั้งแต่เปิดปี 2568 เป็นต้นมา สถานะ “จุดเปลี่ยนผ่าน” ของไทยก็อยู่ในด้านลบ สาเหตุหลักมาจากที่ธุรกิจสีเทาและดำเข้มได้ใช้เขตชายแดนไทยเป็นทางผ่านขนคนจากนานาประเทศ – ทั้งที่ถูกหลอกและเต็มใจ – ไปทำงานในขบวนการคอลเซ็นเตอร์ในประเทศเพื่อนบ้าน จนต้องมีการปราบปราม ทั้งข่าวชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งตัวกลับจีนและภัยขบวนการอาชญากรรมนั้นทำให้บางประเทศออกมาเตือนพลเรือนของตัวเองให้ระมัดระวังตัวมากขึ้นขณะที่อยู่ในไทย

คลิปวิดีโอการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีน เมื่อปลายเดือน ก.พ. 68 (ภาพจาก: ข่าวค่ำ 2 มี.ค. 68)

คลิปวิดีโอการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีน เมื่อปลายเดือน ก.พ. 68 (ภาพจาก: ข่าวค่ำ 2 มี.ค. 68)

อีกด้านหนึ่ง เมืองไทยก็ยังเป็น “ดินแดนสวรรค์” หรือ “ดินแดนแห่งความหวัง” ของคนนับล้านจากทั่วโลก บ้างตั้งใจเข้ามาเมืองไทยเพื่อหลบหนีความขัดแย้งและสงครามในบ้านเกิดของตน บ้างตั้งใจเข้ามาหาเลี้ยงชีพและตั้งถิ่นฐานถาวร องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน หรือ IOM (International Organization for Migration) เคยประเมินไว้ว่า เมืองไทยมีผู้อพยพ (migrants) กว่า 5.2 ล้านคน นับถึงเดือน ก.ค. 67 

ด้วยบริบทที่กล่าวมาทั้งหมด จึงเป็นโอกาสอันเหมาะสมที่เราควรหันมามองสถานการณ์และสถานะของคนต่างด้าวในประเทศไทย ดินแดนที่เป็นทั้งจุดหมายของคนที่มีทางเลือกและปลายทางของผู้ที่เลือกอะไรไม่ได้ 

ฮการา ผู้อพยพชาวกะเหรี่ยงในต.แม่สามแลบ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน (ภาพจาก AFP 2 เม.ย. 64)

ฮการา ผู้อพยพชาวกะเหรี่ยงในต.แม่สามแลบ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน (ภาพจาก AFP 2 เม.ย. 64)

[กลุ่มผู้ลี้ภัย] อยากจะกลับไป (เมียนมาร์) ทุกคนอยากกลับหมดค่ะ ฉันเองก็อยากกลับไปเมืองของตัวเอง ฉันไม่อยากตายที่นี่ ฉันพูดมาตลอดค่ะว่า อยากกลับบ้านและตายที่เมืองของตัวเอง - ฮการา (Hkara) ผู้อพยพชาวกะเหรี่ยงในไทย กล่าวกับ AFP

สถานะของคนต่างด้าวที่ไม่ได้มีแค่ “ผู้อพยพ” 

ตามนิยามในพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 “คนต่างด้าว” หมายถึง “บุคคลธรรมดาซึ่งไม่มีสัญชาติไทย” และทุกครั้งที่เราพูดถึงคนต่างด้าวที่เข้ามาในไทย ก็จะแบ่งประเภทคนต่างด้าวออกเป็น ผู้อพยพ (migrant) ที่หมายความกว้าง ๆ ถึงผู้โยกย้ายถิ่นฐานจากประเทศบ้านเกิด, ผู้ลี้ภัย (refugee) หรือผู้ที่หนีออกจากประเทศบ้านเกิดของตนเพราะกลัวว่าจะถูกประหัตประหารและได้รับความคุ้มครองโดยประเทศใหม่ และผู้ขอลี้ภัย (asylum seeker) หรือผู้ที่หนีจากประเทศบ้านเกิดแต่ยังไม่ได้รับสถานะผู้ลี้ภัย 

เนื่องจากประเทศไทยไม่ได้เข้าร่วมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย ค.ศ. 1951 (Convention Relating to the Status of Refugees 1951) และไม่ได้เข้าร่วมภาคยานุวัติพิธีสารเกี่ยวกับสถานภาพผู้ลี้ภัย ค.ศ. 1967 (Protocol Relating to The Refugee Status 1967) ทำให้ประเทศไทย “ไม่มีการให้สถานะผู้ลี้ภัย” กับคนชาติอื่นที่หลบหนีภัยจากประเทศบ้านเกิดของตน อย่างไรก็ตาม ไทยได้กำหนดสถานะให้คนที่หนีภัยสงครามว่าเป็น “ผู้หนีภัยการสู้รบ (ผภร.)” ส่วนคนต่างด้าวที่เข้ามาอาศัยในศูนย์พักพิงของไทยเป็นระยะ ๆ นั้นถูกเรียกว่า “ผู้อาศัยในพื้นที่พักพิงชั่วคราว” 

ผู้หลบลี้หนีภัยในจ.ตาก (ภาพจาก KNU Dooplaya District/AFP 31 พ.ค. 64)

ผู้หลบลี้หนีภัยในจ.ตาก (ภาพจาก KNU Dooplaya District/AFP 31 พ.ค. 64)

ทั้งผู้หนีภัยการสู้รบและผู้อาศัยชั่วคราวนั้นอาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงตามเขตชายแดนไทย ส่วนมากเป็นชาวเมียนมาและชาวกะเหรี่ยงที่ทยอยข้ามฝั่งมาไทยมาเป็นเวลากว่า 40 ปีแล้ว พวกเขาไม่มีสิทธิพลเมืองหรือได้รับการรับรองตามกฎหมายไทย รวมถึงไม่สามารถออกนอกพื้นที่พักพิงได้หากไม่ได้รับอนุญาต อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัตินั้น รัฐไทยดูแล รองรับ และตรวจตรากลุ่มผู้หนีภัยฯ และผู้อาศัยชั่วคราวผ่านสำนักงานศูนย์ดำเนินการเกี่ยวกับผู้อพยพ (สศอ.) กระทรวงมหาดไทย สศอ. นั้นร่วมมือกับองค์การข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ในด้านการจัดทำทะเบียนผู้หนีภัยฯ และอนุญาตให้องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรต่าง ๆ (NGOs) เข้ามาช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเพิ่มเติมแก่ผู้อพยพในศูนย์พักพิงฯ ทั่วประเทศ

นอกจากนี้ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการคัดกรองคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรและไม่สามารถเดินทางกลับประเทศอันเป็นภูมิลำเนาได้ พ.ศ. 2562 ได้เพิ่มสถานะ “ผู้ได้รับการคุ้มครอง” เข้ามาอีก 1 สถานะ โดย “ผู้ที่ได้รับการคุ้มครอง” หมายถึง คนต่างด้าวในไทยที่ได้รับการตรวจสอบแล้วว่า มีเหตุอันเชื่อได้ว่าจะได้รับอันตรายจากการถูกประหัตประหารในประเทศภูมิลำเนา ส่วนชาวต่างชาติ ทั้งนี้ จะไม่มีการส่งตัวคนกลุ่มนี้กลับประเทศบ้านเกิด เว้นแต่พวกเขาจะสมัครใจกลับประเทศภูมิลำเนาเองหรือมีเหตุที่จะกระทบความมั่นคงของราชอาณาจักรไทย

สถานกักตัวคนต่างด้าวที่มีการกล่าวว่า เป็นสถานที่กักตัวชาวอุยกูร์ (ภาพจาก AFP 22 ม.ค. 68)

สถานกักตัวคนต่างด้าวที่มีการกล่าวว่า เป็นสถานที่กักตัวชาวอุยกูร์ (ภาพจาก AFP 22 ม.ค. 68)

ส่วนคนต่างด้าวที่เข้าเมืองผิดกฎหมายหรือไม่ได้รับอนุญาตให้พำนักในไทยนั้น จะต้องถูกดำเนินคดีและถูกกักตัวในสถานกักตัวคนต่างด้าว สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งมีทั้งสิ้น 16 แห่งทั่วประเทศ แม้ทางการไทยจะกล่าวว่า คนต่างด้าวที่ถูกกักตัวได้รับการดูแลตามหลักสิทธิมนุษยชน แต่ IOM ชี้ว่า กฎหมายไทยขาดกลไกป้องกันการกักตัวที่ไม่เป็นธรรม ปัญหาหนึ่งคือ พ.ร.บ. คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 อนุญาตให้พนักงานเจ้าหน้าที่ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อยืดเวลาการกักตัวคนต่างด้าวผิดกฎหมายได้ “ในกรณีที่มีเหตุจําเป็น” และชนกลุ่มน้อยที่เข้าเมืองผิดกฎหมายนั้นถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะถูกกักตัวอย่างไม่มีกำหนด 

จริงอยู่ที่ว่า คนต่างด้าวยังอพยพเข้ามาในไทยอย่างไม่ขาดสาย แต่เมืองไทยอาจจะไม่ใช่ตัวเลือกในอุดมคติอีกต่อไปสำหรับผู้หลบลี้หนีภัยทางการเมือง The Active ได้รวบรวมข้อมูลผู้หลบลี้หนีภัยที่ถูกส่งตัวกลับประเทศภูมิลำเนานับตั้งแต่ปี 2558-เดือน ก.พ. 68 พบว่าหลายคนเป็นนักเคลื่อนไหวหรือนักกิจกรรมที่ต่อต้านรัฐบาลของตน เช่น สัม สุขา, เวือน เวียสนา, เวือง สมนาง และ ฐาวรี ลันห์ นักกิจกรรมชาวกัมพูชา รวมถึง ตีฮา, เท็ต เน วิน และซอ เพียว เล กลุ่มต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมา

อินโฟกราฟิกจาก The Active เกี่ยวกับผู้หลบลี้หนีภัยในไทยที่ถูกส่งตัวกลับในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา

อินโฟกราฟิกจาก The Active เกี่ยวกับผู้หลบลี้หนีภัยในไทยที่ถูกส่งตัวกลับในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา

สถานการณ์เกี่ยวกับชาวอุยกูร์ในไทยก็สะท้อนได้เช่นกันว่า ไทยอาจไม่ใช่ที่พึ่งพิงที่ปลอดภัยอีกต่อไป รัฐไทยไม่เคยรับรองสถานะของชาวอุยกูร์ในไทยและควบคุมตัวชาวอุยกูร์บางส่วนในสถานกักตัวคนต่างด้าวนานกว่า 11 ปี “เพื่อน ๆ ของผมตกอยู่ในสภาพหมดหวัง พวกเขาใช้ชีวิตด้วยความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่าจะได้รับการปล่อยตัวและได้ย้ายไปอยู่ในประเทศเสรีสักวันหนึ่ง และพวกเขายังกลัวว่า หากเกิดถูกส่งตัวกลับจีน ก็อาจจะทุกข์ทรมานจากการกดขี่บีบบังคับ” อับดุลเลาะห์ ซามี (Abdullah Sami) ชาวอุยกูร์ที่ย้ายไปประเทศที่ 3 สำเร็จโดยใช้ไทยเป็นทางผ่าน บอกกับสำนักข่าว AFP เมื่อเดือน ต.ค. 65

อับดุลเลาะห์ ซามี (ภาพจาก AFP 28 ต.ค. 65)

อับดุลเลาะห์ ซามี (ภาพจาก AFP 28 ต.ค. 65)

ความกังวลของซามีกลายเป็นจริง เมื่อไทยส่งตัวชาวอุยกูร์ 40 คนกลับจีนเมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา จนทำให้ประชาคมโลกประณามและกดดันรัฐบาลไทย เช่น สภายุโรปอาจใช้การค้าเสรี (FTA) กดดันให้ไทยปฏิรูปกฎหมายสิทธิมนุษยชน และการส่งชาวอุยกูร์กลับจีนครั้งนี้ก็สะท้อนถึงภาพลักษณ์ของไทยที่เปลี่ยนไปในสายตาผู้หลบลี้หนีภัย “ในอดีตไทยเป็นเหมือนพื้นที่ที่สามารถหนีร้อนมาพึ่งเย็นได้ เป็นพื้นที่สามารถเป็นทางผ่านไปประเทศที่ 3 ได้ [แต่] ยุคสมัยดังกล่าวได้ผ่านพ้นไปแล้ว” สุณัย ผาสุข ที่ปรึกษา Human Rights Watch ประเทศไทย ให้ความเห็นแก่ The Active 

จากทั้งหมดที่กล่าวมา เรายังคงต้องติดตามการจัดการคนต่างด้าวผู้หลบลี้หนีภัยในไทยกันต่อไปโดยเฉพาะในช่วง 3 ปีนี้ เนื่องจากไทยเป็นในฐานะสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษชนสหประชาชาติ (UNHRC) ประจำวาระปี 2568-2570

“สงคราม” ปัจจัยเร่งคนต่างด้าว (อพยพ) เข้าไทย

แม้ไทยจะมีปัญหาเกี่ยวกับการจัดการผู้อพยพและผู้หลบลี้หนีภัยในหลายมิติ แต่ IOM ได้เน้นย้ำไว้ว่า “ราชอาณาจักรไทยยังคงมีบทบาทสำคัญด้านการโยกย้ายถิ่นฐานในภูมิภาค” ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในรอบ 4-5 ปีที่ผ่านมา จำนวนคนต่างด้าวในไทยนั้นเพิ่มขึ้น และปัจจัยเบื้องหลังข้อหนึ่งก็คือ “สงครามทั้งนอกและในภูมิภาคอาเซียน” บทความนี้จะขอกล่าวถึง 3 สงครามสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์คนต่างด้าวในไทยอย่างเห็นได้ชัด 

ในปี 2565 มีชาวอิสราเอลที่ได้รับอนุญาตทำงานในไทย 515 คน และมีนักท่องเที่ยวอิสราเอล 145,490 คน แต่หลังจากที่สงครามกาซา (Gaza War) ได้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 66 มีชาวอิสราเอลได้รับอนุญาตทำงานในไทยเพิ่มเป็น 1,057 คน และมีนักท่องเที่ยวอิสราเอลถึง 281,803 คนที่เข้ามา แม้จะไม่พบข้อมูลแน่ชัดว่ามีชาวอิสราเอลที่ได้รับอนุญาตให้พำนักระยะยาวในไทย – ไม่ว่าจะมีงานทำหรือไม่ก็ตาม – เป็นจำนวนเท่าใด แต่ความกังวลเกี่ยวกับชาวอิสราเอลในอ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ก็อาจพอสะท้อนภาพการปรากฏตัวของคนกลุ่มนี้ที่เพิ่มมากขึ้นในสังคมไทย ณ ปัจจุบัน

นักท่องเที่ยวต่างชาติในจ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งถูกคาดว่ามีชาวอิสราเอลเข้าไปท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก (ภาพจาก: วันใหม่ ไทยพีบีเอส 26 ก.พ. 68)

นักท่องเที่ยวต่างชาติในจ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งถูกคาดว่ามีชาวอิสราเอลเข้าไปท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก (ภาพจาก: วันใหม่ ไทยพีบีเอส 26 ก.พ. 68)

ชาวรัสเซียถือเป็นคนอีกชาติหนึ่งที่มาท่องเที่ยวหรือตั้งหลักปักฐานเป็นจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะในพื้นที่จ.ภูเก็ต สะท้อนได้จากการเปิดกงสุลใหญ่สหพันธรัฐรัสเซียในภูเก็ตเมื่อเดือน ก.ค. 66 แต่เมื่อสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน (Russo-Ukrainian War) ปะทุลุกลามขึ้นเมื่อวันที่ 24 ก.พ. 65 มีชาวรัสเซียหมายมั่นทำงานหรือประกอบธุรกิจในไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากข้อมูลของกรมจัดหางานในเดือน ม.ค. 68 มีชาวรัสเซียที่ได้รับอนุญาตทำงานในไทยทั้งสิ้น 7,096 คน เพิ่มขึ้นประมาณ 3.2 เท่าจากตัวเลขในเดือน ม.ค. 65 หรือราว 1 เดือนก่อนที่สงครามรัสเซีย-ยูเครนจะเกิดขึ้น

ชาวรัสเซียยังถือครองอสังหาริมทรัพย์มากติด 3 อันดับแรกจากชาวต่างชาติในไทยทั้งหมด ที่น่าสังเกตต่อก็คือ ชาวรัสเซียที่เข้ามาไทยหลายคนเลือกที่จะนำเงินมาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ซึ่งคุ้มค่าที่สุด “[คนรัสเซีย] มีการร่วมทุนกับคนไทยหรือเป็นเจ้าของโดยตรงเอง สร้างพูลวิลลาขาย ส่วนใหญ่ลูกค้าก็เป็นคนรัสเซียนี่แหละครับ [อีกทั้ง] กระแสของคนรัสเซียที่มาอยู่เมืองไทยจะเปลี่ยนมือ [อสังหาริมทรัพย์] ตลอด เพราะฉะนั้นการลงทุนอสังหาฯ จึงคุ้มค่า” อดุลย์ กำไลทอง ผู้เชี่ยวชาญด้านรัสเซีย ให้ความเห็นในรายการทันโลก กับ Thai PBS

ภาพนักท่องเที่ยวในจ.ภูเก็ต จังหวัดที่มีชาวรัสเซียจำนวนไม่น้อยเข้าไปลงทุน (ภาพจาก AFP 20 มี.ค. 63)

ภาพนักท่องเที่ยวในจ.ภูเก็ต จังหวัดที่มีชาวรัสเซียจำนวนไม่น้อยเข้าไปลงทุน (ภาพจาก AFP 20 มี.ค. 63)

เนื่องจากธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์เป็นอาชีพสงวนเพื่อคนไทย ชาวรัสเซีย – รวมถึงชาวต่างประเทศอีกหลายสัญชาติ – จึงใช้ “นอมินีคนไทย” เปิดบริษัทให้แทน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) รายงานว่า มีชาวรัสเซียจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทในจ.ภูเก็ตราว 1,603 บริษัทในช่วงปี 2566-เดือน มี.ค. 67 ขณะที่ตัวเลขจากปี 2559-2565 นั้นอยู่ที่ 30 บริษัทเท่านั้น และการตรวจค้นบริษัทที่เข้าค่ายนอมินีของคนรัสเซียจำนวน 4 แห่ง พบของกลางทั้งเงินสดและอสังหาริมทรัพย์มูลค่ารวมกันกว่า 1,000 ล้านบาท แต่นี่ถือเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้นที่คนต่างด้าวบางกลุ่มลักลอบดำเนินธุรกิจและสร้างความเสียหายให้แก่เศรษฐกิจไทย

ทั้งนี้ สงครามที่นำคนต่างด้าวเข้ามาในไทยมากที่สุดคือ สงครามกลางเมืองในเมียนมา (Myanmar civil war) หลังการรัฐประหารของนายพล มิน อ่อง หล่าย เมื่อ 4 ปีก่อน ซึ่งทำให้เมียนมากลายเป็นประเทศที่ขัดแย้งรุนแรงและแตกแยกมากที่สุดของโลกตามการประเมินขององค์กร ACLED ผลลัพธ์หนึ่งจากสงครามครั้งนี้คือ “การโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ (irregular migration)” หรือชาวเมียนมาที่เข้าเมืองผิดกฎหมายในไทยนั่นเอง เช่น กลุ่มผู้หนีภัยทางการเมืองชาวเมียนมาราว 20,000 คนในไทยหลังปี 2564 คนส่วนมากในกลุ่มนี้ไม่มีสถานะทางกฎหมายหรือมีแต่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง จนกลายเป็นคน “ตกขอบ” ซึ่งเสี่ยงที่จะถูกตามล่าจากทางการเมียนมาและ/หรือถูกแสวงหาผลประโยชน์จากคนไทยมากกว่าผู้อพยพชาวเมียนมากลุ่มอื่น ๆ

อีกด้านหนึ่ง เมื่อเดือน พ.ค. 67 กรมการปกครองรายงานว่า มีผู้หนีภัยการสู้รบและผู้อาศัยในพื้นที่พักพิงชั่วคราวชาวเมียนมาจำนวน 77,606 คนในพื้นที่พักพิงฯ 9 แห่ง นอกจากคนกลุ่มนี้จะไม่มีสถานะทางกฎหมายและไม่มีสิทธิทำงาน พวกเขาก็ไม่มีโอกาสเรียนได้หนังสืออย่างเหมาะสมเนื่องจากกระทรวงศึกษาธิการไทยไม่มีอำนาจจัดการศึกษาให้คนในแคมป์ผู้หนีภัย ล่าสุด พวกเขาเข้าถึงระบบสาธารณสุขได้ยากลำบากขึ้นหลังโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตัดงบประมาณช่วยเหลือ USAID ทำให้โรงพยาบาลต่าง ๆ ตามแนวชายแดน เช่น โรงพยาบาลท่าสองยาง จ.ตาก “ต้องรับหน้าที่ดูแลทั้งหมดโดยไม่มีทรัพยากรเพียงพอ” ตามคำสัมภาษณ์ของนพ. ธวัชชัย ยิ่งทวีศักดิ์ ที่ให้ไว้แก่ The Active เมื่อปลายเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา

แรงงานชาวเมียนมาในจ.สมุทรสาคร (ภาพจาก AFP 20 ก.ย. 61)

แรงงานชาวเมียนมาในจ.สมุทรสาคร (ภาพจาก AFP 20 ก.ย. 61)

ส่วนคนเมียนมาที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานในไทยอย่างถูกกฎหมายและนั้นก็ใช่ว่าจะได้รับหลักประกันในชีวิตอย่างที่ควร IOM ระบุปัญหาของระบบประกันสังคมไทยที่อนุญาตให้แรงงานต่างด้าวประกันตนตามมาตรา 33 เท่านั้น ส่วนแรงงานต่างด้าวที่ตกงาน รับจ้างตามฤดูกาลในภาคเกษตร-ประมง หรือรับจ้างทั่วไปนั้นไม่มีสิทธิประกันตามมาตรา 39 และ 40 เลย ในปี 2566 มีแรงงานเมียนเข้าระบบประกันสังคมตามมาตรา 33 เพียงร้อยละ 56.5 หรือราว 975,610 คน ยิ่งไปกว่านั้น มีแรงงานผู้หญิงชาวเมียนมาประกันตนเพียงร้อยละ 41.2 เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขผู้ประกันตนชาวกัมพูชาและลาวในไทย

ทั้งหมดนี้คือสถานการณ์เพียงส่วนหนึ่งเกี่ยวกับคนต่างด้าวในไทย ไม่ว่าผู้อพยพจะมาจากชนชาติใด ทุกคนก็ควรได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม – โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่หลบลี้หนีภัยเข้ามาเพราะกลัวการประหัตประหารจากประเทศบ้านเกิด แม้ปัญหาหลายอย่างนั้นใหญ่เกินกว่าที่ประชาชนอย่างเรา ๆ จะแก้ได้ แต่เราก็สามารถช่วยเรียกร้องสิทธิและความเท่าเทียม และท้ายที่สุดแล้ว “รัฐไทย” ต้องมีมาตรฐานในการรับมือกับคนต่างด้าวทั้งที่ถูกและผิดกฎหมาย เพื่อให้ประเทศได้เป็น “จุดหมายปลายทางสำหรับคนทุกคน” อย่างแท้จริง

อ่านเนื้อหาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องจากเครือ Thai PBS

อ้างอิง

ติดตามบทความและเรื่องราวทันทุกกระแสที่ Thai PBS NOW

ภาพผู้หลบลี้หนีภัยชาวเมียนมาและทารกในไทย หลังเกิดรัฐประหารในเมียนมาเมื่อปี 63 (ภาพจาก AFP 2 เม.ย. 63)

ภาพผู้หลบลี้หนีภัยชาวเมียนมาและทารกในไทย หลังเกิดรัฐประหารในเมียนมาเมื่อปี 63 (ภาพจาก AFP 2 เม.ย. 63)

แท็กที่เกี่ยวข้อง

สิทธิมนุษยชนผู้อพยพผู้ลี้ภัยคนต่างด้าวประเทศไทย
พีรชัย พสุทันท์
ผู้เขียน: พีรชัย พสุทันท์

ศิษย์เก่าอักษร จุฬาฯ และโปรแกรมปริญญาโททุน EU ด้านวรรณกรรมยุโรปในฝรั่งเศสและกรีซ ผู้ชอบพาตัวเองไป (หลง) อยู่ในกระแสพหุวัฒนธรรม และเปิดเพลง ABBA ประโลมชีวิตทุกครั้งที่เขียนงาน I ติดตามผลงานส่วนตัวที่ porrorchor.com

บทความ NOW แนะนำ

ข่าวล่าสุด

Failed to load player resources

Please refresh the page to try again.

ERROR_BYTEARK_PLAYER_REACT_100001

00:00

00:00

ให้คะแนนการอ่านข่าวนี้