วันที่ 28 มกราคม ค.ศ. 2025 ในการบันทึกรายการ Thai PBS Sci & Tech Movie ประเด็นหลักของรายการ คือ ภาพยนตร์ Oppenheimer (ออกฉายปี ค.ศ. 2023) ในช่วงสุดท้าย คุณไอซ์ ผู้ดำเนินรายการโยนคำถามว่า มีนักวิทยาศาสตร์คนไหน ที่ผู้เขียนอยากเห็นนำเรื่องราวชีวิต มาสร้างเป็นภาพยนตร์อีก เหมือนกับเรื่องของ โรเบิร์ต เจ. ออปเปนไฮเมอร์ ในภาพยนตร์ Oppenheimer
ชื่อของนักวิทยาศาสตร์ 3 คน โผล่ขึ้นมาในความคิดของผู้เขียนทันที
คนแรกคือ ไอน์สไตน์
จริง ๆ แล้ว ก็มีภาพยนตร์เกี่ยวกับไอน์สไตน์สร้างขึ้นมาแล้วมากทีเดียว ที่ผู้เขียนชอบมากก็มีเรื่อง I.Q. (ออกฉายปี ค.ศ. 1994) มี วอลเทอร์ แมตทาว รับบทเป็น ไอน์สไตน์ และ เม็ก ไรอัน รับบทเป็นหลานสาวคนเก่งวิทยาศาสตร์ของไอน์สไตน์ แต่ก็ยังไม่มีภาพยนตร์ที่เจาะเรื่องราวชีวิตของไอน์สไตน์อย่างเต็มตัวและยิ่งใหญ่ ของผู้ได้รับการยกย่องเป็น “นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกตลอดกาล”
คนที่สอง คือ เฮนรี โมสลีย์ (Henry Moseley) นักฟิสิกส์หนุ่มชาวอังกฤษอัจฉริยะ ผู้สร้างผลงานบุกเบิกวิทยาศาสตร์หลายเรื่อง ในช่วงเวลาของชีวิตอันแสนสั้น เพียง 27 ปี แต่ก็ต้องสังเวยชีวิตเป็นเหยื่อของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ด้วยความสมัครใจ อาสาสมัครไปปฏิบัติหน้าที่ในสมรภูมิ ท่ามกลางเสียงคัดค้าน แม้แต่กองทัพอังกฤษ ก็บอกเขาว่า เขาก็สามารถทำหน้าที่รับใช้ชาติหรือมนุษยชาติได้ โดยทำงานวิทยาศาสตร์อยู่กับประเทศ ไม่ต้องออกไปรบในสมรภูมิเลือด
แต่โมสลีย์ ก็ไม่ลดละความตั้งใจ และในที่สุด ก็จึงได้เป็นทหาร และออกรบ แล้วก็ต้องจบชีวิตลงที่สมรภูมิกัลลิโพลี ประเทศตุรกี วันที่ 10 สิงหาคม ค.ศ. 1915
สำหรับวงการวิทยาศาสตร์ กล่าวกันว่า การสูญเสียเฮนรี โมสลีย์ ในวัยเพียง 27 ปี เป็นการสูญเสียราคาแพงที่สุดจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เพราะโลกต้องสูญเสียสิ่งที่จะได้จาก เฮนรี โมสลีย์ ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
หลังกล่าวถึง เฮนรี โมสลีย์ อย่างรวบรัด ผู้เขียนก็เตรียมจะกล่าวถึง นักวิทยาศาสตร์คนที่สาม ที่อยากเห็นเรื่องราวชีวิต ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์อย่างจริงจัง ในระดับที่ คริสโตเฟอร์ โนแลน สร้าง Oppenheimer ซึ่งก็คือ นีลส์ บอร์ (Neils Bohr) ...
แต่ก็มีเสียงของทีมงานสั่ง “คัท” เพราะหมดเวลาของการบันทึกรายการ ผู้เขียนกับคุณไอซ์ ก็จึงต้องปฏิบัติตามอย่าง “เคร่งครัด”
แต่เรื่องของ นีลส์ บอร์ ยังอยู่ในใจของผู้เขียนตลอดมา เพราะจริง ๆ แล้ว ระหว่างทั้งสามคน คือ ไอน์สไตน์ , เฮนรี โมสลีย์ และ นีลส์ บอร์ ผู้เขียนกล่าวถึง ไอน์สไตน์ และ เฮนรี โมสลีย์ ก่อน เพื่อนำเข้าสู่ นีลส์ บอร์
“วิทยาศาสตร์ ทันโลก ทันชีวิต” วันนี้ ผู้เขียนจึงขอนำเรื่องราวเกี่ยวกับ นีลส์ บอร์ ที่ตั้งใจจะบอกเล่าผ่านคุณไอซ์ในการบันทึกรายการโทรทัศน์นั้น มาเล่าสู่ท่านผู้อ่านวันนี้ โดยจะเน้น 3 ประเด็นใหญ่ คือ (1) ตัวตนและผลงานวิทยาศาสตร์ (2) ฝ่าม่านนาซี และ (3) การสร้างระเบิดอะตอม แล้วให้ท่านผู้อ่านมาช่วยกันคิดว่า เรื่องของนีลส์ บอร์ น่าจะนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ระดับ มหากาพย์ (epic) อย่างที่ผู้เขียนอยากเห็นหรือไม่ ?

นีลส์ บอร์ : ตัวตนและผลงานวิทยาศาสตร์
นีลส์ บอร์ เป็นนักฟิสิกส์ชาวเดนมาร์ก จบปริญญาเอกฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัยโคเปนฮาเกน ในปี ค.ศ. 1911 ขณะมีอายุ 26 ปี
ผลงานวิทยาศาสตร์เด่นที่สุดตลอดชีวิตของ นีลส์ บอร์ คือ เรื่องเกี่ยวกับอะตอม จนกระทั่งได้ชื่อเป็น “บิดาแห่งโครงสร้างอะตอมแบบควอนตัม”
อย่างน่าสนใจ ความเข้าใจเกี่ยวกับ “อะตอม” ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เป็นความเข้าใจใหม่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ยี่สิบ เริ่มต้นจากแบบจำลองอะตอมของทอมสัน (Thomson atomic model) ที่ เจ. เจ. ทอมสัน (J.J. Thomson) เสนอในปี ค.ศ. 1904
ต่อมา ก็เป็นแบบจำลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ด (Rutherford atomic model) ที่ เออร์เนสต์ รัทเทอร์ฟอร์ด (Ernest Rutherford) เสนอในปี ค.ศ. 1911 โดยที่อะตอมมีลักษณะคล้ายระบบสุริยะ
ก่อนแบบจำลองอะตอมของทอมสัน วงการวิทยาศาสตร์ก็ยังยึดถือตามความเข้าใจ ที่ย้อนหลังไปไกลถึงกว่า 2,000 ปี ตามทฤษฎีแรกเกี่ยวกับอะตอมของเดโมคริตุส (Democritus : ประมาณ 460-370 ปี ก่อน ค.ศ.) ว่า “สรรพสิ่งในจักรวาลประกอบด้วยหน่วยเล็กที่สุดที่แบ่งแยกไม่ได้อีกแล้ว คือ อะตอม”
จนกระทั่งถึงวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ในศตวรรษที่สิบแปด คือ จอห์น ดัลตัน (John Dalton : ค.ศ. 1766-1844) ผู้ได้ชื่อเป็น “บิดาแห่งเคมียุคใหม่” ก็ยังถือว่า อะตอมเป็นหน่วยเล็กที่สุดของสสารที่แบ่งแยกไม่ได้
จนกระทั่งถึงต้นศตวรรษที่ยี่สิบ เมื่อนักฟิสิกส์เริ่มมีวิธีการทดลอง...และเล่น...กับส่วนภายในอะตอม นั่นแหละ จึงเกิดมีแบบจำลองของทอมสัน ตามมาด้วยแบบจำลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ด…
และในที่สุด ก็จึงมาถึงบทบาทของ นีลส์ บอร์ ที่นำแบบจำลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ดมาปรับปรุง โดยเพิ่มส่วนของทฤษฎีควอนตัมเข้าไปด้วย เป็น “แบบจำลองอะตอมเชิงควอนตัมของ นีลส์ บอร์”
นีลส์ บอร์ เสนอแบบจำลองอะตอมเชิงควอนตัมของเขาในปี ค.ศ. 1913 หลังแบบจำลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ดเพียง 2 ปี
นีลส์ บอร์ เป็นลูกศิษย์ของรัทเทอร์ฟอร์ด และอาจารย์ (รัทเทอร์ฟอร์ด) ก็ยอมรับว่า แบบจำลองอะตอมของลูกศิษย์ถูกต้องกว่า และแบบจำลองอะตอมเชิงควอนตัมของ บอร์ ก็เป็นแบบจำลองหลักของโลกวิทยาศาสตร์ตลอดมา ถึงปัจจุบัน
จากผลงานของ นีลส์ บอร์ ในการเสนอแบบจำลองอะตอมเชิงควอนตัม ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ประจำปี ค.ศ. 1922 และบทบาทในการพัฒนาฟิสิกส์ควอนตัม ทำให้ นีลส์ บอร์ ได้รับการยอมรับเป็นนักวิทยาศาสตร์สำคัญของโลก ในระดับเทียบชั้นกับไอน์สไตน์ ทีเดียว…
และก็จากความรู้เกี่ยวกับอะตอมของ นีลส์ บอร์ ทำให้เขามีบทบาทสำคัญในเรื่องการสร้างระเบิดอะตอมของฝ่ายสัมพันธมิตร ทั้งโครงการแมนฮัตตัน และโครงการสร้างระเบิดอะตอมของอังกฤษด้วย

นีลส์ บอร์ : ฝ่าม่านนาซี
แล้วสงครามโลกครั้งที่สองก็ระเบิดขึ้น ในวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1939 เมื่อฮิตเลอร์ส่งกองทัพเยอรมันบุกประเทศโปแลนด์
นีลส์ บอร์ มีเชื้อสายยิวทางมารดา และจึงเป็น “คนมีปัญหา” สำหรับเยอรมันนาซี ตั้งแต่เมื่อ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ขึ้นรับตำแหน่ง “ฟือเรอร์” (Fuhrer : ผู้นำ) ในปี ค.ศ. 1933
แต่ฮิตเลอร์ก็ทำอะไร นีลส์ บอร์ ได้ไม่มาก เพราะความเป็นคนมีชื่อเสียงของ นีลส์ บอร์...
แม้แต่เมื่อฮิตเลอร์ยึดครองประเทศเดนมาร์กในเดือนเมษายน ค.ศ. 1940 นีลส์ บอร์ ก็ยังแอบทำงานใต้ดิน ช่วยนักวิทยาศาสตร์ยิว และนักวิทยาศาสตร์ที่มีความผิดขัดแย้งกับฮิตเลอร์ ให้รอดพ้นจากนาซีได้หลายพันคน
จนกระทั่งถึงเดือนกันยายน ค.ศ. 1943 ก็มีข่าวจากหน่วยใต้ดินเดนมาร์กว่า เขาและครอบครัวกำลังจะถูกตำรวจลับ เกสตาโพจับ
หน่วยใต้ดินเดนมาร์กได้ช่วยนำ นีลส์ บอร์ และภรรยา หนีจากเดนมาร์กทางเรือ ไปสู่สวีเดน และทำได้สำเร็จในวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 1943
เมื่อทางประเทศอังกฤษทราบว่า นีลส์ บอร์ ได้เดินทางหนีจากเดนมาร์กไปสวีเดน ก็อยากให้เขาเดินทางไปประเทศอังกฤษ
การเดินทางเสี่ยงอันตรายที่สุดในชีวิตของ นีลส์ บอร์ จึงเกิดขึ้น
นีลส์ บอร์ เดินทางจากสวีเดนไปอังกฤษ โดยซ่อนตัวอยู่ในห้องเก็บและทิ้งระเบิดใต้ท้องเครื่องบิน “Mosquito” หรือ “ยุง” ซึ่งเป็นเครื่องบินรบขนาดเล็กชื่อเสียงโด่งดังของอังกฤษ บินได้สูงและเร็วมาก
การเดินทางใช้เวลาสามชั่วโมง และ นีลส์ บอร์ ก็ “เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด” เพราะเมื่อเครื่องบินต้องบินสูงเหนือนอร์เวย์ ซึ่งตกอยู่ภายใต้การยึดครองของเยอรมนีแล้ว นักบินก็บบอกให้นีลส์ บอร์ เปิดเครื่องออกซิเจนในหมวกนักบิน ที่ นีลส์ บอร์ ต้องสวมตลอดการเดินทาง
แต่ นีลส์ บอร์ ไม่ได้ยิน เพราะเขาไม่ได้สวมหมวกนักบิน เนื่องจาก นีลส์ บอร์ หัวโตเกินไปสำหรับหมวกนักบิน
นีลส์ บอร์ จึงหมดสติไปจากการขาดออกซิเจน จนกระทั่งเมื่อเครื่องบินลดระดับความสูงลงเหนือทะเลเหนือ มหาสมุทรแอตแลนติก ใกล้อังกฤษ นีลส์ บอร์ จึงรู้สึกตัวขึ้นมา

นีลส์ บอร์ : ระเบิดอะตอม
นีลส์ บอร์ เป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจแก่ทั้งนักวิทยาศาสตร์ผู้เกี่ยวข้องกับโครงการสร้างระเบิดอะตอมของสหรัฐอเมริกา คือ โครงการแมนฮัตตันและนักวิทยาศาสตร์ในอังกฤษ ที่กำลังทำงาน (อย่างลับ ๆ) กับโครงการสร้างระเบิดอะตอมของอังกฤษ มีชื่อโครงการอย่างใสซื่อว่า “Tube Alloys” (ท่อโลหะผสม) ซึ่งเกิดขึ้นก่อนโครงการแมนฮัตตัน
นีลส์ บอร์ เดินทางจากสวีเดนถึงสกอตแลนด์ในวันที่ 6 ตุลาคม ค.ศ. 1943 แล้วจึงเดินทางต่อไปถึงกรุงลอนดอน และได้เข้าร่วมกับโครงการสร้างระเบิดอะตอมของอังกฤษในฐานะเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับอะตอม
โครงการสร้างระเบิดอะตอมของอังกฤษเดินหน้าอย่างค่อนข้างช้า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอังกฤษกำลังอยู่ในภาวะสงครามกับเยอรมนี และเป็นเป้าการโจมตีโดยขีปนาวุธ วี-1 (V-1)
อังกฤษจึงส่งให้ นีลส์ บอร์ เดินทางไปสหรัฐอเมริกา เสมือนหนึ่งเป็นตัวแทนของอังกฤษในโครงการสร้างระเบิดอะตอม
นีลส์ บอร์ เดินทางถึงกรุงวอชิงตันดี.ซี. วันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1943 พบกับผู้อำนวยการโครงการแมนฮัตตัน คือ พลโท เลสลี อาร์. โกรฟส์ (Lelie R. Groves) และเดินทางต่อไปที่ลอสอลามอส นิวเม็กซิโก พบกับ ออปเปนไฮเมอร์ และกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ของโครงการแมนฮัตตัน
ในภาพยนตร์ “Oppenheimer” มีฉากเกี่ยวกับ นีลส์ บอร์ 2 ฉาก
ฉากแรก คือ ฉากที่ออปเปนไฮเมอร์ คว้าผลแอปเปิลฉีดยาพิษจาก นีลส์ บอร์ ขณะกำลังจะกัดกิน ฉากนี้ ไม่มีเกิดขึ้นจริง
ฉากที่สอง คือ ฉากที่ นีลส์ บอร์ ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นที่ลอสอลามอส เป็นฉากที่มีเกิดขึ้นจริง
ออปเปนไฮเมอร์ ซึ่งมีอายุน้อยกว่า นีลส์ บอร์ 19 ปี ยกย่อง นีลส์ บอร์ เป็นอาจารย์ของเขา

นีลส์ บอร์ : พบ “วินสตัน เชอร์ชิล” และ “แฟรงคลิน ดี. รูสเวลต์”
นีลส์ บอร์ อยู่ที่ลอสอลามอสไม่นาน แล้วก็ต้องเดินทางไปหลายแห่งหลายที่ เพื่อพบกับนักวิทยาศาสตร์หรือศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะในเรื่องเกี่ยวกับทฤษฎีอะตอม ทฤษฎีควอนตัม และการสร้างระเบิดอะตอม
แต่ในเรื่องเกี่ยวกับการสร้างระเบิดอะตอมทั้งของอังกฤษและที่ลอสอลามอส นีลส์ บอร์ ก็ต้องระมัดระวัง เพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลความก้าวหน้าของโครงการ ซึ่งดูเหมือนว่า นีลส์ บอร์ จะทำได้ไม่ดีนัก
นีลส์ บอร์ ได้พบกับ วิสตัน เชอร์ชิล นายกรัฐมนตรีอังกฤษ วันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 1944 แต่ผลการพบปะกันก็ออกมาไม่ดีเลย
บอร์ สรุปสั้น ๆ ผลการพบกับ วินสตัน เชอร์ชิล ว่า “เราพูดกันคนละภาษา !”
ส่วน วินสตัน เชอร์ชิล ก็รู้สึกไม่ไว้วางใจ บอร์ ที่มีนักฟิสิกส์คุ้นเคยกับ บอร์ ทั้งในเยอรมนี และรัสเซีย และเคยได้รับจดหมายจากนักฟิสิกส์มีชื่อเสียงของรัสเซีย ระดับรางวัลโนเบล คือ ปีเตอร์ คาพิตซา (Peter Kapitsa) ที่มีจดหมายเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 1944 ตั้งแต่ขณะที่ บอร์ ยังหลบภัยอยู่ที่สวีเดน ชวน บอร์ ให้ไปรัสเซีย ซึ่ง บอร์ ก็ตอบปฏิเสธไปเมื่อเขาเดินทางถึงอังกฤษ
หลังพบกับ บอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ วินสตัน เชอร์ชิล ก็ได้เขียนในจดหมายฉบับหนึ่งแสดงถึง “ความไม่สบายใจ” กับ บอร์ อย่างชัดเจน สำหรับเรื่องการแบ่งปันความรู้กับรัสเซียเกี่ยวกับการสร้างระเบิดอะตอม โดยวินสตัน เชอร์ชิล เขียนว่า
“สำหรับผม เกี่ยวกับ บอร์ เขาควรจะถูกจำกัด หรืออย่างน้อยที่สุด ถูกทำให้เข้าใจว่า เขากำลังอยู่ที่ขอบเหวของอาชญากรรมทางจิตอย่างที่สุด”
ต่อมา วันที่ 26 สิงหาคม ค.ศ. 1944 บอร์ ก็ได้พบกับประธานาธิบดีสหรัฐ แฟรงคลิน ดี. รูสเวลต์ และแสดงความคิดเห็นว่า สหรัฐฯ ควรจะแบ่งปันความรู้กับรัสเซียในเรื่องการสร้างระเบิดอะตอม
ผลคือ แฟรงคลิน ดี. รูสเวลต์ บอกให้ บอร์ กลับไปที่อังกฤษ เพื่อบอกกับผู้นำอังกฤษด้วย
วันที่ 19 กันยายน ค.ศ. 1944 เมื่อ แฟรงคลิน ดี. รูสเวลต์ กับ วินสตัน เชอร์ชิล พบกันในกรุงลอนดอน ทั้งสองก็แสดงความไม่เห็นด้วยกับความคิดของ บอร์ สำหรับการแบ่งปันความก้าวหน้าของโครงการนิวเคลียร์ต่อ “โลก” และมีการบันทึกจากการพบกันของสองผู้นำประเทศที่รุนแรงและชัดเจนว่า
“ควรจะมีการสืบสวนเกี่ยวกับกิจกรรมของศาสตราจารย์ บอร์ และมีมาตรการป้องกันมิให้เกิดการรั่วไหลแก่โลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัสเซีย”

ในช่วงก่อนการทดลองระเบิดอะตอมลูกแรกจริง ๆ ของโลกที่ลอสอลามอส เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ. 1945 บอร์ ก็พยายามโน้มน้าวนักวิทยาศาสตร์ของโครงการแมนฮัตตัน ให้ตระหนักถึงผลกระทบร้ายแรงจากระเบิดนิวเคลียร์ ทางด้านจริยธรรมและการเมืองด้วย
แต่ก็ไม่ได้ผลนัก
จนกระทั่ง เมื่อการทดลองระเบิดอะตอมลูกแรกของโลก ได้แสดงฤทธิ์เดชของระเบิดอะตอมอย่างเกินความคาดหมาย โดยที่ บอร์ ก็เป็นคนหนึ่งที่ได้เห็นฤทธิ์เดชของระเบิดอะตอมด้วยตนเอง และหลังการถูกถล่มด้วยระเบิดอะตอม 2 ลูก ที่ฮิโรชิมาและนางาซากิ ในวันที่ 6 และ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1945 ตามลำดับ คำเตือนของ บอร์ จึงเกิดผลจริง ๆ (Bulletin of the Atomic Scientists , ฉบับที่ 7 , vol. 41 , 1985)

นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากที่มีส่วนร่วมในโครงการแมนฮัตตัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรเบิร์ต เจ. ออปเปนไฮเมอร์ และ ไอน์สไตน์ ซึ่งได้พยายามขอร้องมิให้มีการนำระเบิดอะตอมไปใช้ทำลายชีวิตมนุษย์จริง ๆ ก็จึงร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ที่มีความคิดเห็นตรงกัน รณรงค์การควบคุมและการแพร่ขยายของระเบิดนิวเคลียร์อย่างเป็นรูปธรรม
เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1950 หลังความสำเร็จของการทดลองระเบิดอะตอมลูกแรกของรัสเซีย บอร์ ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงองค์การสหประชาชาติ เรียกร้องให้มีการร่วมมือกันระหว่างประเทศ เพื่อควบคุมพลังงานนิวเคลียร์
วันที่ 29 กรกฎาคม ค.ศ. 1959 องค์การสหประชาชาติ ประกาศตั้ง “ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ” หรือ “ไอเออีเอ” (IAEA : International Atomic Energy Agency) ตามแนวความคิดของ บอร์ โดยให้เป็นส่วนหนึ่งขององค์การสหประชาชาติ แต่มีการบริหารจัดการอย่างเป็นอิสระ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย มีเป้าหมายใหญ่ 13 ประการ คือ
หนึ่ง : พิทักษ์การไม่แพร่ขยายของอาวุธนิวเคลียร์
สอง : สนับสนุนการใช้พลังงานนิวเคลียร์อย่างมั่นคงและปลอดภัย
สาม : ส่งเสริมการใช้ประโยชน์ของพลังงานนิวเคลียร์ด้านสันติอย่างปลอดภัย

นีลส์ บอร์ : ภาพยนตร์ที่อยากเห็น
ถัดจาก ไอน์สไตน์ ก็มี นีลส์ บอร์ ที่ได้รับการถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์มาแล้วมากทีเดียวทั้งที่เน้นตัว บอร์ และที่แสดงบทบาทบางส่วนของ บอร์ ดังเช่น Race for the Bomb (ภาพยนตร์ชุดโทรทัศน์ปี ค.ศ. 1987) , The Heavy Water War (ภาพยนตร์โทรทัศน์ปี ค.ศ. 2015) ฯลฯ แต่ก็ยังไม่มีการนำเรื่องราวชีวิตของ บอร์ มาสร้างเป็นภาพยนตร์ระดับ มหากาพย์ ดังเช่น เรื่องของ เจ. โรเบิร์ต ออปเปนไฮเมอร์ ในภาพยนตร์ Oppenheimer
ฉากสำคัญเกี่ยวกับ นีลส์ บอร์ ที่ผู้เขียนนึกภาพอยากเห็น มีมากทีเดียว เช่น การเสี่ยงภัยช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ยิวหนีภัยจากเยอรมันนาซี ฉากการหนีภัยนาซีของบอร์เอง จากเดนมาร์ก ไปสวิตเซอร์แลนด์ และที่น่าตื่นเต้นที่สุด คือ ฉากการซ่อนตัวอยู่ในห้องหรือรังลูกระเบิดใต้ท้องเครื่องบิน “ยุง” ของอังกฤษ จากสวีเดนไปอังกฤษ โดยบอร์แทบเอาชีวิตไม่รอด รวมถึงฉากการปะทะเชิงความคิดของ นีลส์ บอร์ กับ ไอน์สไตน์ เกี่ยวกับทฤษฎีควอนตัม ที่ผู้เขียนมิได้กล่าวถึงในเรื่องของเราวันนี้
นอกเหนือไปจากเรื่องของ ไอน์สไตน์ และเฮนรี โมสลีย์ ที่ผู้เขียนอยากเห็นเป็นภาพยนตร์ระดับมหากาพย์ ดังเช่น Oppenheimer แล้ว ก็จึงเป็นเรื่องของ นีลส์ บอร์
แล้วท่านผู้อ่านล่ะครับ ได้ชมภาพยนตร์ Oppenheimer หรือไม่ ? อยากเห็นภาพยนตร์ระดับมหากาพย์เรื่องราวชีวิตของ นีลส์ บอร์ หรือไม่ ? และท่านผู้อ่านเอง นึกอยากเห็นการนำเรื่องราวชีวิตของนักวิทยาศาสตร์คนไหนอีก มาสร้างเป็นภาพยนตร์ระดับ “มหากาพย์” ครับ ?
อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech