เพราะ “โรคความดันโลหิตสูง” เป็นฆาตกรเงียบ หรือ Silence Killer ที่สามารถคร่าชีวิตเราได้ ไม่ต่างจากมะเร็ง เพราะไม่มีอาการให้เห็นแบบเป็นรูปธรรม เหมือนโรคอื่น ๆ
โดยข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่า ในกลุ่มประชากรอายุ 30-79 ปี มีผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงเกือบ 1.3 พันล้านคน และมักไม่แสดงอาการในระยะเริ่มต้น ขณะที่ในประเทศไทย พบผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง จำนวน 13 ล้านคน และ 7 ล้านคนในจำนวนนี้ ไม่รู้ว่าตนเองป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งหากผู้ป่วยมีภาวะความดันโลหิตสูงเป็นระยะเวลานาน และไม่ได้รับการดูแลรักษา ความรุนแรงของโรคจะเพิ่มมากขึ้น
ไทยพีบีเอสรวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจของโรคความดันโลหิตสูง ไล่ตั้งแต่ความหมายและประเภทของค่าความดันโลหิต ไปจนถึงวิธีการอ่านค่าความดัน ซึ่งจะทำให้คุณรู้ความเสี่ยงที่จะเป็นโรคความดันโลหิตสูงของตัวเอง จะได้หาวิธีป้องกันอย่างทันท่วงที
รู้จัก “ความดันโลหิต” หรือหลักฐานของการมีชีวิตอยู่
“ความดันโลหิต” คือแรงดันของกระแสเลือดที่มีต่อผนังหลอดเลือด โดยมีอวัยวะสำคัญต่าง ๆ คอยควบคุมให้ความดันอยู่ในระดับปกติ เช่น หัวใจ, ไต และหลอดเลือด ซึ่งสามารถหดหรือขยายตัวได้ เป็นต้น
แต่ที่น่ามหัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นคือ ความดันโลหิตสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ตามท่านั่งหรือท่ายืนอาหารหรือเครื่องดื่ม อารมณ์ที่เปลี่ยนแปลง หรือปริมาณการออกกำลังกาย และแน่นอนว่าวิธีที่ง่ายที่สุด ที่จะทำให้เรารู้ว่า “ความดัน” ของเราเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน นั่นก็คือการวัดค่าความดันโลหิต จากเครื่องวัดความดันที่รอบแขน ซึ่งจะวัดออกมาได้ 2 ค่า คือ
- ค่าความดันตัวบน (Systolic pressure) เป็นค่าแรงดันสูงสุด เมื่อกล้ามเนื้อหัวใจบีบตัว มีหน่วยเป็นมิลลิเมตรปรอท
- ค่าความดันตัวล่าง (Diastolic pressure) เป็นค่าแรงดันสูงสุด เมื่อกล้ามเนื้อหัวใจคลายตัว มีหน่วยเป็นมิลลิเมตรปรอท เช่นเดียวกันกับค่าความดันตัวบน
ค่าความดันเท่าไหร่ ถึงไม่ปกติ ?
ค่าความดันโลหิตที่ปกติ ตามแนวทางขององค์การอนามัยโลกและกระทรวงสาธารณสุข คือควรมีค่าความดันตัวบนน้อยกว่า 120 มิลลิเมตรปรอท และมีค่าความดันตัวล่างน้อยกว่า 80 มิลลิเมตรปรอท
แต่ถ้ามีค่าความดันตัวบนมากกว่าหรือเท่ากับ 140 มิลลิเมตรปรอท และมีค่าความดันตัวล่างมากกว่าหรือเท่ากับ 90 มิลลิเมตรปรอท ถือว่าป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง ต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์และเข้ารับการรักษา
ยิ่งปล่อยไว้นาน ยิ่งมีอาการและโรคแทรกซ้อน
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าความน่ากลัวของโรคความดันโลหิตสูง คือมักไม่แสดงอาการให้เห็นในช่วงแรก ๆ เมื่อโรคเริ่มรุนแรงขึ้น ถึงจะมีอาการผิดปกติต่อร่างกาย ดังนี้
- ตาพร่าใจสั่น
- ปวดศีรษะและอาเจียน
- เหนื่อยง่ายผิดปกติ
- เจ็บหน้าอกรุนแรง
- แขนขาอ่อนแรง
ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี อาจทำให้หลอดเลือดแดงเสื่อมโดยมีคราบไขมันพอกที่ผนังหลอดเลือด จนเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตีบ ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนที่อวัยวะสำคัญ เช่น
- จอประสาทตาเสื่อม
- หลอดเลือดอุดตัน เป็นสาเหตุของโรคอัมพฤกษ์หรืออัมพาต
- ภาวะไตวายเรื้อรัง เนื่องจากมีเลือดไปเลี้ยงไตไม่พอ
- หัวใจวาย เนื่องจากหลอดเลือดหัวใจตีบ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน และมีอาการเจ็บหน้าอกอย่างรุนแรง
ภัยเงียบที่ป้องกันได้ ด้วยการตระหนักรู้
อย่างไรก็ตาม การวัดค่าความดันโลหิตเพียงครั้งเดียว ยังไม่เพียงพอที่จะสรุปว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง จำเป็นต้องวัดซ้ำ 2-3 ครั้ง และตรวจติดตามเป็นระยะ เพราะค่าความดันโลหิตเป็นตัวเลขที่มีปัจจัยหลายอย่างมากระทบได้ง่าย เช่น ความเหนื่อย ความเครียดหรือความกังวล
ด้วยเหตุนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) จึงได้กำหนดให้วันที่ 17 พฤษภาคมของทุกปี เป็นวันความดันโลหิตสูงโลก (World Hypertension Day) เพื่อให้ผู้คนได้ทำความรู้จักและตระหนักถึงความรุนแรงของโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นภัยเงียบที่คร่าชีวิตคนได้ทุกเพศทุกวัย
ที่มา: กองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค, คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล