วันนี้ (6 เม.ย.2568) มีข้อมูลจากเพจเฟซบุ๊ก ระบุถึงความเชื่อมโยงสนิทสนมของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย กับ นายมณเฑียร เจริญผล ผู้ว่าการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. อาจมีผลต่อการสอบสวน-ข้อเท็จจริง เหตุการณ์ตึก สตง.ถล่ม
ล่าสุดนายอนุทิน ออกมายอมรับถึงความสนิทสนมกันจริง โดยเป็นเพื่อนรักกันมากว่า 10 ปี เรียนหลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร หรือ วปอ. มาด้วยกัน จึงถือเป็นเรื่องปกติ แต่ข้อมูลที่อ้างอิงถึงการช่วยเหลือกัน อาจเป็นข้อมูลเท็จ ไม่มีใครช่วยเหลือใครได้ การสอบสวนทุกอย่างต้องตรงไปตรงมา
นายอนุทิน ย้ำว่า คณะกรรมการสอบสวนมีหลายฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้อง อีกทั้งกระทรวงมหาดไทย โดยกรมโยธาธิการและผังเมือง มีหน้าที่สอบว่า มีข้อผิดพลาดในการก่อสร้างอะไร แต่ไม่ได้มีหน้าที่สอบที่มาที่ไปของตึกว่า มีทุจริตหรือฮั้วกันหรือไม่ เพราะเป็นหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ
ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่าหลังเกิดเหตุการณ์ตึก สตง.ถล่ม ได้มีการพูดคุยกับ นายมณเฑียร จริง ซึ่งมีอาการเครียด เพราะเพิ่งได้เข้ามาดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าฯ สตง. ได้ไม่ถึงครึ่งปี จึงขอให้เขียนข้อมูลอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง-ถูกต้อง โดยเฉพาะรูปภาพที่นำมาเผยแพร่
"นภินทร" พร้อมส่งข้อมูลผู้ถือหุ้น "ไชน่า เรลเวย์" ให้ดีเอสไอ
ขณะที่ นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รมช.พาณิชย์ กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบผู้ถือหุ้น บริษัทไชน่า เรลเวย์ ว่า จากข้อมูลมีเหตุผลอันควรเชื่อได้ว่า คนไทยที่ถือหุ้น เป็นนอมินีจริง แต่หน้าที่ในการพิสูจน์เป็นของ "ดีเอสไอ" และคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. และสามารถเรียกเอกสารและพยานหลักฐานทั้งหมดมาตรวจสอบได้
รมช.พาณิชย์ ชี้ว่า ทางกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ และอีก 7 หน่วยงาน จะส่งเอกสารการถือหุ้น รวมถึงเอกสารที่เกี่ยวข้องไปให้ "ดีเอสไอ" ซึ่งจะสามารถใช้เป็นหลักฐาน โดยปราศจากข้อสงสัยในการดำเนินคดีได้ แม้ผู้ถือหุ้นจะหลบหนีไปแล้วก็ตาม แต่ยังสามารถเอาผิดได้จากหลักฐานเอกสาร ขณะเดียวกัน กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ จะเดินหน้าตรวจสอบอีก 37 บริษัท ที่มีผู้ถือหุ้นเดียวกัน รวมถึงบริษัทคู่ค้า ที่ทำหน้าที่ประมูลงานด้วย
อ่านข่าวอื่น :