ทันทีที่ "โดนัลด์ ทรัมป์" ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีนโยบายขึ้นกำแพงภาษีสินค้าไทย 36% คุณธิดา ษิณปักษา ผู้สื่อข่าวไทยในเมืองออสติน รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ได้ลงพื้นที่สำรวจสินค้านำเข้าจากไทยในซูเปอร์มาเก็ตแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นตลาดที่ชาวเอเชียนิยมไปซื้อเครื่องใช้อุปโภค บริโภค

โซนที่ไปสำรวจ เช่น กะทิ ข้าวสาร น้ำปลา ปลาร้า อาหารแห้ง โดยผู้สื่อข่าว พบว่า สินค้ายังราคาเป็นปกติ ยังไม่ได้มีบรรยากาศการกักตุนสินค้า แต่ในกลุ่มของคนไทยในสหรัฐฯ เริ่มคุยกันว่าจะไปกักตุนสินค้าหรือไม่ เพราะวัตถุดิบอย่างกะทิ ปลาร้า ข้าวสาร ไม่ใช่ของพื้นถิ่นที่หาได้จากสหรัฐฯ และอาจมีราคาแพงเพิ่ม 1 เท่าตัว
นอกจากนี้ ได้การลงพื้นที่ไปยังร้านอาหาร Sip Saam Thai ในเมืองออสติน ที่มีร้านอาหารไทยถึง 4 สาขา
อ่านข่าว : “3 อยู่” เพื่อรับมือสงครามการค้า

ทวีศักดิ์ แมท -เกษจนา แจ้งสว่าง เจ้าของร้าน พาสำรวจภายในครัว ที่ต้องใช้วัตถุดิบได้ ในการปรุงอาหารให้ลูกค้า
เจ้าของร้าน บอกว่า ยังไม่ได้กักตุนสินค้าใด เพราะร้านไม่มีพื้นที่มาก โดยยอมรับว่าหากราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น ก็มีจะมีผลกระทบเป็นห่วงโซ่ ตั้งแต่ราคาต้นทุนอาหารที่เพิ่มชึ้น ค่าจ้างแรงงาน ลูกจ้าง เพราะค่าครองชีพเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังไม่ได้ปรับขึ้นราคาอาหาร และลูกค้าที่เข้ามากินอาหาร ก็ยังไม่ได้ตื่นตระหนกกับเรื่องนี้มาก

เมื่อถามว่าอยากให้รัฐบาลไทยแก้ปัญหานี้อย่างไร ผู้ประกอบการร้านอาหารไทย ย้ำว่า แนวทางที่จะช่วยได้ คือ การตั้งทีมเจรจากับทรัมป์อย่างเป็นทางการ เพื่อต่อรองการขึ้นภาษี แต่เชื่อว่าอาจเป็นไปได้ค่อนยาก เพราะก่อนหน้านี้ทรัมป์ไม่ค่อยพอใจที่ไทยส่งชาวอุยกูร์ไปจีน
ผู้ประกอบการไทย ย้ำว่า ในอนาคตเชื่อว่าจะมีสงครามการค้าเกิดขึ้นอีก ไม่ใช่แค่ครั้งนี้ จึงอยากให้รัฐบาลเตรียมแผนรับมือให้อย่างดี เพราะจะกระทบกับสินค้าส่งออกไทย เสียโอกาสในการส่งออก เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งขันของไทยที่ส่งออกสินค้าประเภท เดียวกันไปสหรัฐฯ

อ่านข่าว : สะเทือนทั้งโลก "สหรัฐฯ" เคาะตัวเลขภาษีตอบโต้คู่ค้า ไทยโดน 36%