วันนี้ (26 มี.ค.2568) มีการจัดเวทีเสวนา "พิรงรอง Effect สะเทือนอุตสาหกรรมสื่อ ?" โดยมีนักวิชาการจากหลากหลายด้านร่วมสะท้อนภาพอุตสาหกรรมสื่อในอนาคต จากกรณีศาสตราจารย์กิตติคุณพิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. ถูกศาลพิพากษาความผิดตามมาตรา 157 เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี สะท้อนมุมมองต่อกรณีนี้ว่า คาดไม่ถึงว่าบุคคลที่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภคจะถูกตัดสินให้มีความผิด พร้อมตั้้งข้อสังเกตเกี่ยวกับกระบวนการออกหนังสือเตือนที่ออกโดยสำนักงาน กสทช. กรณีเตือนผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาต ซึ่งกระดาษแผ่นเดียวที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ไม่มีชื่อของของ ศ.กิตติคุณพิรงรอง โดยมองว่าหากจะมีใครผิดก็ควรต้องฟ้องร้องไปที่คำสั่งหรือสำนักงาน ไม่ใช่ตัวบุคคล
ปัจจุบันโครงสร้างทางเศรษฐกิจมีการกระจุกตัวของอำนาจทางเศรษฐกิจและการผูกขาดในรูปแบบใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา มีปัญหาว่าเทคโนโลยีวิ่งเร็วกว่ากฎหมายไม่รู้กี่เท่าตัว เพราะฉะนั้นเป้าหมายของภาครัฐที่จะดูแลคุ้มครองประโยชน์สาธารณะจึงมีอุปสรรคอย่างมาก

นายอภิสิทธิ์ ระบุอีกว่า หลักกฎหมายมหาชนมีความแตกต่างกับหลักกฎหมายเอกชน โดยหลักของกฎหมายเอกชน ถ้าไม่ห้าม ทำได้ แต่หลักของกฎหมายมหาชนซึ่งเราต้องการคุ้มครองสิทธิของคนที่ได้รับผลกระทบจากอำนาจรัฐ คือเจ้าหน้าที่รัฐต้องมีกฎหมายให้อำนาจจึงจะทำได้
ขณะที่ รศ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ สะท้อนว่า จากนี้จะมีผู้ได้รับผลกระทบ คือผู้ประกอบการทีวีที่ได้รับใบอนุญาต ซึ่งจะถูกนำเอาเนื้อหาไปใช้บนแพลตฟอร์มออนไลน์ ส่วนผู้บริโภคก็ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการต้องรับชมเนื้อหาที่มีโฆษณาที่เข้ามาแทรก

ส่วน รศ.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เสนอว่า กสทช.ควรปรับโครงสร้างใหม่ให้เท่าทันเทคโนโลยีและบริบทของของโลกที่เปลี่ยนไป หาคนทำงานที่ตรงตามความรับผิดชอบ พร้อมกับเรียกร้องให้มีกลไกการทำงานที่สามารถปกป้องคนทำงานไม่ให้ถูกดำเนินคดี เพื่อประโยชน์ของผู้บริโภค ไม่ใช่แค่กับอุตสาหกรรมสื่อเท่านั้น
ที่น่าเป็นห่วงอย่างมากคือคนทำงาน เคสของอาจารย์พิรงรองคือคนทำงานในบทบาทของ กสทช. แต่กลับมาเจอคดี จึงมองว่าสิ่งสำคัญมากที่ควรจะต้องทำต่อไปโดยเฉพาะ กสทช.ที่จะต้องเป็นคนจัดการ คือเรื่องกลไกการปกป้องคนทำงาน

รศ.วิไลวรรณ กล่าวอีกว่า หาก กสทช.มีกลไกในการปกป้องคนทำงานที่ดี จะไม่มีเคสนี้เกิดขึ้น แต่เมื่อเกิดแล้วเราจะสร้างกลไกอย่างไรในการปกป้องคนทำงาน ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญมาก เนื่องจากขณะนี้เคสดังกล่าวทำให้เกิดภาวะของความกลัว แล้วจะมีใครที่มีความรู้ความสามารถเข้ามารับผิดชอบในจุดนี้
อย่างไรก็ตาม งานเสวนาวันนี้ ศ.กิตติคุณพิรงรอง ไม่ได้เข้าร่วม แต่พบว่าบิดาและมารดาได้เข้าร่วมรับฟัง โดยทั้งสองระบุว่าอยากมาฟังด้วยตัวเองและขณะนี้มีกำลังใจมากขึ้น
อ่านข่าว
สคฝ.เผยปี 67 "คนไทยส่วนใหญ่" มีเงินฝากต่ำกว่า 1 ล้านบาท